วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

17. เศรษศาสตร์การเมือง (วิษณุ บุญมารัตน์)

เขียนโดย วิษณุ บุญมารัตน์
Thursday, 06 October 2005
เมื่อเดือน กันยายน 2548 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปสอนปริญญาโทการเมืองที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีในวิชาการเศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่งวันนี้ผู้เขียนขอเล่าชุดความคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองไทย
ปัจจุบันคำว่า เศรษฐศาสตร์การเมือง เริ่มมีการพูดถึงกันมากขึ้นทั้งที่ทราบและไม่ทราบความหมาย หากแยกออกมาเป็น 2 คำ คือเศรษฐศาสตร์ และ การเมือง จะมีผู้ที่เข้าใจความหมายกันโดยมาก เพราะเศรษฐศาสตร์ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง วิชาว่าด้วยการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ของชุมชน ซึ่งใกล้เคียงกับการรับรู้ของคนทั่วไป เช่นเดียวกับคำว่า เศรษฐกิจ อันหมายถึง งานอันเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยสิ่งต่างๆ ของชุมชน พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เศรษฐศาสตร์ คือ วิชาที่ศึกษาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยของชุมชนนั่นเอง


เมื่อมาพิจารณาถึงคำว่า การเมือง จะพบว่ามีความหมายหลายอย่าง เฉพาะในส่วนของการเป็นคำนามนั้น มีถึง 3 ความหมายคือ 1) งานที่เกี่ยวกับรัฐหรือแผ่นดิน 2) การบริหารประเทศเฉพาะที่เกี่ยวกับนโยบายในการบริหารประเทศ 3) กิจการอำนวยหรือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สรุปสั้นๆ คือ งานที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน


แต่เมื่อนำคำ 2 คำมารวมกันเป็น เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy)กลับเป็นเรื่องของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นในมิติทางการเมืองและวัฒนธรรม แม้จะยังคงยึดด้านเศรษฐกิจเป็นหลักก็ตาม แนวคิดดังกล่าวมีจุดกำเนิดมาจากยุโรปตั้งแต่คริสตวรรษที่ 19 ที่เป็นการศึกษาวิเคราะห์ชีวิตสังคมที่เป็นระบบและรอบด้าน โดยบูรณาการเอาศาสตร์ต่างๆ มารวมเข้าด้วยกัน ศาสตร์หนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวพันกับเศรษฐศาสตร์การเมืองอย่างมาก ก็คือ ประวัติศาสตร์


เศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นวิชาที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของวิชาเศรษฐศาสตร์กระแสรอง ซึ่งเป็นการนำวิชาเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้ร่วมกับวิชาอื่น เช่น เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ขณะที่เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก จะเป็นวิชาว่าด้วยการเงิน การคลัง การวางแผนการบริหารงบประมาณเพื่อให้คุ้มค่าที่สุด นักเศรษฐศาสตร์
กระแสหลักจึงเป็นผู้ที่เข้าทำงานในหน่วยงานด้านการเงินการคลังของรัฐเสียโดยมาก ส่วนนักเศรษฐศาสตร์กระแสรองก็มักจะเป็นนักวิชาการที่เผยแพร่ความคิดของตนผ่านงานเขียนทางวิชาการ และการสอน


ประเทศไทยนั้นมีการพูดถึงแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อพระสุริยานุวัตร ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์คนแรกของไทย ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ "ทรัพยศาสตร์" เมื่อปี พ.ศ. 2454 นำแนวคิดทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คลาสสิก และนีโอคลาสสิก เข้ามาวิเคราะห์สังคมไทยว่า ควรใช้ระบบสหกรณ์เพื่อแบ่งปันกัน เนื่องจากระบบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลนั้นก่อให้เกิดเศรษฐีและยาจก แต่แนวคิดนี้ถูกห้ามเผยแพร่ เพราะจะก่อให้เกิดการต่อสู้ทางชนชั้น


แนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลักถูกกล่าวถึงอีกครั้ง เมื่ออาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้นำเสนอแนวคิดเพื่อปฏิรูปประเทศไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 แต่ยังคงถูกปฏิเสธเช่นเดิม จนเมื่อรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้ามาบริหารประเทศและให้ความสำคัญกับนักวิชาการต่างประเทศ ดังนั้น การเสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจของคณะนักสำรวจเศรษฐกิจของธนาคารโลกที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยจึงทำให้รัฐบาลประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรกเมื่อปี พ.ศ.2504 และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารประเทศ เพราะรัฐบาลมองว่า นักเศรษฐศาสตร์เป็นเพียงนักเทคนิคที่จะช่วยวางแผนงบประมาณรายจ่ายของประเทศ ซึ่งมุ่งศึกษาแต่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์โดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยทางการเมืองแต่อย่างใด จึงไม่มีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล


แต่สำหรับเศรษฐศาสตร์กระแสรอง อย่างเช่น เศรษฐศาสตร์การเมือง เพิ่งมีโอกาสเปิดตัวให้เป็นที่รับรู้ของสังคมภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีผู้เสนอแนวคิดดังกล่าวมาบ้างแล้วก็ตาม


การเปิดตัวของกลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ.2516 ได้มีการนำแนวคิดมาร์กซิสมนุษยนิยมผสมกับแนวคิดอนาธิปัตย์นิยม (anarchism) เข้ามาอธิบายสภาพสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น สร้างความแปลกใหม่ในวงวิชาการ และในเวลาต่อมาได้นำมิติท้องถิ่นชุมชนเข้ามาพิจารณาด้วย ซึ่งทำให้การอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ต้องอ้างอิงมิติทางประวัติศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง กลายเป็นสำนักเศรษฐศาสตร์การเมืองแนวประวัติศาสตร์ ที่มุ่งเสนอให้ทบทวนแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา และทบทวนทฤษฎีและแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ชี้นำแนวทางนั้น ชักชวนให้นักวิชาการและปัญญาชนหันกลับมามองชุมชนท้องถิ่น พื้นฐานของชีวิต วัฒนธรรมความเป็นอยู่ ที่มีความสำคัญกว่าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอย่างตะวันตก


ดังนั้น การศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมืองของสำนักนี้จึงกลายเป็นสหสาขาวิชาที่อธิบายพัฒนาการของสังคมได้ค่อนข้างรอบด้านพร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางแก้ไขที่พึงกระทำ แม้จะเป็นความคิดที่ออกนอกกรอบของสังคมในเวลานั้นๆ แต่ก็ได้รับการพิสูจน์ในเวลาต่อมาแล้วว่า ข้อเสนอแนะดังกล่าวเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว


อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน บทบาทของนักเศรษฐศาสตร์การเมืองสำนักนี้กำลังเป็นที่จับตามองของหลายฝ่าย เพราะนอกจากจะเสนอแนวความคิดที่เกือบจะเป็นการฟันธงแล้ว ยังวิพากษ์ระบบการเมืองการปกครองอย่างตรงไปตรงมา สร้างความไม่พอใจให้กับผู้เกี่ยวข้องหลายครั้งด้วยกันจนมีความพยายามเข้าครอบงำการทำงานของสำนักนี้ในเชิงชี้นำการวิจัยเพื่อสร้างภาพบวกให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


ผู้เขียนในฐานะศิษย์เก่าของสำนักนี้ยังเชื่อมั่นในความเป็นกลางทางวิชาการของคณาจารย์ในสำนักนี้ทุกท่าน และยังภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ รวมทั้งนำสิ่งที่ได้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน
หนังสือ วิพากษ์การเมือง ยุคทักษิณ ชินวัตร ของผู้เขียนเป็นตัวอย่างงานด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองเล่มหนึ่ง รวมถึงเว็บไซต์ www.wiszanu.com ด้วยนั้น ขอยืนยันว่า ข้อคิดเห็นและข้อมูลที่ปรากฏนั้นเป็นการวิเคราะห์จากสภาพที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้มีอคติแต่อย่างใด เพียงมุ่งหวังให้ประชาชนคนไทยสนใจเหตุการณ์รอบตัวมากขึ้นและมองให้รอบด้านถึงเหตุที่มาและอนาคตที่กำลังจะเป็นไป จะพบว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่ออีกหลายเรื่องนั้น การกลับไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงแทนระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม จะเป็นทางออกที่ดียิ่งในเรื่องนี้




The Midnight University

เศรษฐศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย
ขาลงรัฐบาลทักษิณ และ สองนัคราประชาธิปไตย
รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความวิชาการบนหน้าเว็บเพจนี้ รวบรวมมาจากผลงานที่เคยได้รับการตีพิมพ์แล้ว
บนหน้าหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
การรวบรวมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้ประกอบการศึกษา
สำหรับนักศึกษาและผู้สนใจการวิเคราะห์เหตุบ้านการเมืองร่วมสมัยในสังคมไทย
บทความที่ได้รับการรวบรวม ประกอบด้วย
๑. ที่เรียกว่าขาลงของรัฐบาลทักษิณ ๒. ที่เรียกว่าสองนัคราประชาธิปไตย
๓. ที่เรียกว่าสัญญาประชาคมใหม่
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 815
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 10 หน้ากระดาษ A4)



ขาลงรัฐบาลทักษิณ และ สองนัคราประชาธิปไตย
รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

1. ที่เรียกว่าขาลงของรัฐบาลทักษิณ
สามสี่เดือนหลังของปีก่อน หนูกลอยทนดูอาการเงอะๆ งะๆ เรื่องเทคโนโลยีของปาป๊าไม่ได้ก็เลยเมตตาช่วยสอนให้รู้จักใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ Power Point สำหรับทำแผ่นภาพฉายขึ้นจอประกอบการบรรยาย
ความที่เห็นว่ามันเหมาะมือดี มีเทคนิคคัลเลอร์ดูดตาดูดใจ จัดแต่งภาพให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้สารพัด และที่สำคัญมันนำเสนอข้อมูล จับประเด็นแนวคิด สะท้อนถ่ายทอดลำดับเหตุผลข้อถกเถียงได้รวบรัด คมชัดถนัดชัดเจนยิ่ง ผมจึงใช้เอาๆ จนติดและออกจะพร่ำเพรื่อ ชักเขียนอะไรยาวๆ เป็นเรื่องเป็นราวไม่ค่อยเป็น ชอบแต่เขียนสรุปย่อสั้นๆ และหนักข้อเข้าพอไม่มีแผ่นภาพ Power Point ฉายประกอบ ก็พาลพูดไม่ค่อยออกเอาเลยทีเดียว
ดังที่ท่านผู้อ่านอาจสังเกตเห็นว่าผมดอดเอาชุดแผ่นภาพ Power Point ที่ผมทำขึ้นประกอบการบรรยายในวาระหัวข้อต่างๆ มาลงคอลัมน์นี้หลายครั้งในระยะที่ผ่านมา เพราะรู้สึกว่ามันสวยดี และง่ายดีครับ ทว่าทำไปทำมาก็เริ่มมีเสียงสะท้อนจากเพื่อนมิตรและลูกศิษย์ลูกหาว่าไม่คุ้นเคย และบางชิ้นก็ดูไม่ใคร่รู้เรื่องว่าจะบอกอะไรกันแน่? โดยเฉพาะเรื่อง "ส.ค.ส.2549 : ที่เรียกว่าขาลงของรัฐบาลทักษิณ" ในฉบับศุกร์สุดท้ายปลายปี ผมต้องขออภัยและคิดว่าถึงเวลากลับมาเขียนความเรียงตามปกติได้แล้ว
ความจริงภาพ ส.ค.ส.ขาลงของรัฐบาลทักษิณแผ่นนั้นมีที่มาจาก เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนรายการเคเบิลทีวีเจ้าหนึ่งติดต่อขอสัมภาษณ์ผม ให้ช่วยวิเคราะห์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองรอบปีที่ผ่านมา และคาดการณ์แนวโน้มการเมืองปีหน้า ระหว่างผมนั่งลำดับความคิดก่อนสัมภาษณ์นั่นเอง เจ้าชิ้นส่วนองค์ประกอบข้อคิดวิเคราะห์ต่างๆ มันก็ค่อยๆ ทยอยลอยลงมาชุมนุมร้อยเรียง ยึดโยงสัมพันธ์กันเป็นภาพรวมอย่างลงตัวกระชับรัดกุม ผมก็เลยจับมันถ่ายทอดใส่ Power Point เพื่อง่ายแก่การเข้าใจและถ่ายทอดของตัวเอง และไหนๆ ก็ทำแล้วและดูแปลกตาดีก็เลยเที่ยวแจกจ่ายเพื่อนมิตร ลูกศิษย์ลูกหาและลงคอลัมน์เสียเลย
ความคิดชี้นำของผมคือที่เรียกว่า "ขาลง" ของรัฐบาลทักษิณนั้น มันหยาบง่ายไป อุปมาอุปไมยดังกล่าวทำให้นึกเห็นภาพรัฐบาลกำลังตกบันไดดิ่งชะลูดปรูดปราดลงมาข้างล่างท่าเดียว ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่เรียบง่ายทื่อๆ เถรตรงเช่นนั้น หากสลับซับซ้อนกว่าและต้องพูดให้รัดกุมกว่านั้น
มันไม่ใช่เรื่องของ "ขาลง" (in decline or a downward / downhill trend) เท่ากับรัฐบาลกำลังประสบกับ "เพดานความเป็นไปได้" (ceiling) และ "พื้นฐานพลังการเมือง" (floor) ที่กดดันกระหนาบเข้ามาทำให้พื้นที่ในการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว(room of maneuver) เดินหมากทางนโยบายและมาตรการของรัฐบาลหดกระชับแคบลง
พูดง่ายๆ คือในปีหน้ารัฐบาลทักษิณน่าจะทำอะไรต่อมิอะไรได้น้อยลง, ยากขึ้น และสัมฤทธิผลต่ำกว่าความคาดหมาย เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา
ทำไม?
ก่อนเล่าสู่กันฟัง ผมควรแจ้งว่าแรงบันดาลใจให้คิดดังกล่าวมาจากข้อวิเคราะห์วิจารณ์ของครูพักลักจำ 2 ท่าน ได้แก่ อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย ในคำอภิปรายเรื่อง "Thaksinomics" ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ.2547, และอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในบทความเรื่อง "ความชอบธรรมทางการเมือง" , มติชนรายวัน, 19 ธ.ค.2548, น.6
รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ทะเยอทะยานมากที่สุดในรอบกว่าทศวรรษที่ผ่านมาในอันที่จะเปลี่ยนประเทศไทย ผมอยากสรุปรวบยอดโครงการหรือ Project ในการเปลี่ยนประเทศไทยของรัฐบาลทักษิณว่าได้แก่ Thaksinomics & Thaksinocracy กล่าวคือ
1) แปรการเลือกตั้งให้เป็นแบบทักษิณ ณ ไทยรักไทย
กล่าวคือแปรกระบวนการได้มาซึ่งอำนาจ ผ่านการเลือกตั้งในระบอบเลือกตั้งธิปไตย (electocracy) แต่เดิมของไทย ให้เป็นระบอบที่รวมศูนย์ครอบงำโดยพรรคเด่นพรรคเดียวคือพรรคไทยรักไทย
ถ่ายโอนฐานเสียงจากบรรดานักเลือกตั้งท้องถิ่น/นายหน้าการเมืองมาสู่สาขาจัดตั้งของพรรคในพื้นที่ต่างๆ โดยตรง
โยกย้ายอำนาจจากบรรดามุ้งการเมือง(factions) และหัวหน้ามุ้งอิสระมาขึ้นต่อศูนย์การนำของพรรคและหัวหน้าพรรค
ในรูปลักษณ์ความสัมพันธ์รวมศูนย์อำนาจจากบนลงล่างแบบ [สำนักงานใหญ่-->เช่น สโตร์ / ซูเปอร์สโตร์]
2) แปรไทยให้เป็นทุน
กล่าวคือทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมไทยพัฒนากว้างขวาง ครอบคลุมขึ้นและหยั่งลึกขึ้นแผ่กว้างไปดูดกลืนทรัพยากรนานาชนิดในท้องที่ต่างๆ จากการกำกับดูแลของภาครัฐ / ภาคชุมชน ให้เข้ามาอยู่ในตลาดสินค้าภายใต้ระบบกรรมสิทธิ์เอกชนมากขึ้น (commodification & privatization of everything)
แยกสลายชนชั้นเกษตรกรรายย่อยลงไป(depeasantization),เปลี่ยนแปรพวกเขาส่วนน้อยราว 10-20% ที่เก่ง + เฮง ให้กลายเป็นผู้ประกอบการรายย่อยรุ่นใหม่ในตลาดระดับชาติและระดับโลก(bourgeoisification), ส่วนใหญ่ 80-90% ที่เหลือจะได้หลุดรากถอนโคนกลายเป็นคนงานรับจ้างไร้สมบัติ เที่ยวเร่ขายแรงในตลาดแรงงาน(proletarianization)
ภายใต้แนวทางประชานิยมเพื่อทุนนิยม(capitalist populism) ที่ "แปลงสินทรัพย์เป็นทุน แปลงตาสีตาสาเป็นเถ้าแก่(และกุลี)"
3) แปรรัฐให้เป็นแบบซีอีโอ
กล่าวคืออาศัยพลังทุนที่เหนือล้ำของกลุ่มทุนตนและพรรคพวก หลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 + อำนาจบริหารที่เพิ่มพูนเนื่องจากรัฐธรรมนูญปฏิรูปการเมือง 2540 ซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้างเสริมภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี
ไปเปลี่ยนแปรกระบวนการใช้อำนาจรัฐโดยรวมศูนย์อำนาจรัฐเข้ามาไว้ที่ผู้นำรัฐบาล
บล็อคกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ และกลไกพร้อมรับผิดให้เป็นอัมพาต
รวบรัดตัดตอนความรับผิดชอบของผู้นำรัฐบาลให้เหลือวาระเดียวในทางปฏิบัติคือ การเลือกตั้งทั่วไป 4 ปีหน
เกิดระบบรวมศูนย์อำนาจอาญาสิทธิ์ของรัฐที่ เสมือนไร้ขอบเขตขีดจำกัดในทางปฏิบัติ ควบคู่กันไปกับระบบแห่งความไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเหนือสิทธิในร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนพลเมือง โดยเฉพาะสิทธิในการแสดงความเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์ ทางสื่อสาธารณะของฝ่ายค้าน และเสียงส่วนน้อย
พลเมืองทั้งหลายจึงประหนึ่งกลายสภาพเป็น "ลูกจ้าง" ใต้การนำและการบังคับบัญชาเด็ดขาดของเถ้าแก่ซีอีโอตลอด 4 ปี ยกเว้นวันหนึ่งวันนั้นวันเดียวที่ได้เล่นบท "ผู้ถือหุ้น" สั้นๆ ชั่วอึดใจคูหาเลือกตั้ง ก่อนจะโผล่กลับออกมาดำเนินชีวิตทางการเมืองเป็น "ลูกจ้าง ของรัฐซีอีโอ ต่อไปตลอดไป
Project อันทะเยอทะยานดังกล่าวซึ่งอาจรวมเรียกได้ว่า "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ทุนจากการเลือกตั้ง" หรือ Elected Capitalist Absolutism มีอันสะดุดหยุดลงในรอบปีที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุปัจจัยหลายประการซึ่งมี [ปรากฏการณ์สนธิ] เป็นตัวแสดงออกอย่างรวมศูนย์
2. ที่เรียกว่าสองนัคราประชาธิปไตย"
"ที่เขาบอกว่า คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล มันใช้ไม่ได้สำหรับพรรค(ไทยรักไทย)เราหรอก เพราะพรรคเรามันตั้งด้วยทั้งคนกรุงเทพฯและคนต่างจังหวัด และรัฐบาลของเราก็อยู่ด้วยคนกรุงเทพฯและคนต่างจังหวัด มันคนละเรื่อง มันนำมาใช้กันไม่ได้ แต่ว่าจะประมาทไม่ได้"
นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กล่าวมอบนโยบายให้ ส.ส.ในการสัมมนาพรรค 18 ธ.ค.2548
ทฤษฎี "สองนัคราประชาธิปไตย" (A Theoryof Two Democracies) ซึ่งอาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เสนอไว้ในหนังสือสองนัคราประชาธิปไตย : แนวทางการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ เพื่อประชาธิปไตย (2538) ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนไม่ได้มีแค่ "คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล" อันเป็นผลลัพธ์ข้อสรุปเชิงปรากฏการณ์ส่วนหนึ่งที่ทฤษฎีนี้เข้าไปจับเท่านั้น อีกทั้งข้อสรุปสองประโยคดังกล่าวก็ยังขาดตกบกพร่อง ไม่รัดกุม ชวนให้ไขว้เขวได้
เท่าที่ผมตีความเข้าใจ ทฤษฎี "สองนัคราประชาธิปไตย" มีข้อเสนอหลักๆ ดังนี้คือ
1) ความแตกต่างเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมระหว่าง [นัคราประชาธิปไตยในเมือง] โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครซึ่งเป็น "เมืองโตเดี่ยว"-กับ [นัคราประชาธิปไตยในชนบท] อันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วประเทศนำไปสู่....
แบบแผนพฤติกรรมการเมืองที่ต่างกันสุดขั้วระหว่างคนชั้นกลางในเมืองโดยเฉพาะ กทม.กับชาวนาชาวไร่ในชนบท ทำให้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยแยกขั้วแบ่งข้าง
ไม่เป็นระบอบหนึ่งเดียวที่มีเอกภาพ หากเสมือน "อกแตก" แยกออกเป็น "สองนัคราประชาธิปไตย" ในเมืองกับในชนบท
2) กล่าวคือ คนชั้นกลางในเมืองฐานะมั่งคั่งกว่า ได้รับโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจสมัยใหม่ รวมทั้งเข้าถึงสื่อสารมวลชนและสถาบันการเมือง-ราชการได้ดีกว่า จะเล่นบทส่งอิทธิพลเป็นฐานนโยบายของรัฐบาล
ขณะที่ชาวนาชาวไร่ในชนบทยากไร้กว่า ขาดด้อยโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจสมัยใหม่ และเอื้อมไม่ค่อยถึงสื่อสารมวลชนและสถาบันการเมือง-ราชการ จึงมักไม่สามารถส่งอิทธิพลไปกำหนดนโยบายของรัฐบาลได้ แต่กระนั้นก็อาศัยจำนวนประชากรในชนบทที่มีมากกว่า กลับกลายเป็นฐานเสียงสำคัญที่สุดของรัฐบาลในการชนะเลือกตั้งไป
รัฐบาลแห่งระบอบ "สองนัคราประชาธิปไตย" จึงมีฐานเสียงอยู่ที่ชนบท (based on rural constituencies) แต่กลับมีนโยบายลำเอียงเข้าข้างเมือง (urban-biased policy)
3) รัฐบาลในลักษณะนี้ย่อมไร้เสถียรภาพยิ่ง เพราะด้านหนึ่งความโง่-จน-เจ็บของฐานเสียงชนบทเปิดช่องให้การเลือกตั้งในชนบท ถูกครอบงำผูกขาดโดยเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลผ่านระบบหัวคะแนน ซึ่งสามารถอาศัยชัยชนะในการเลือกตั้งชำระชะฟอกและดีดเด้งตัวเองทางการเมือง ตีลังกาไปนั่ง "กินบ้านกินเมือง" เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติในเมืองหลวง แล้วรวมตัวกันเป็นมุ้งการเมืองต่อรองเอาตำแหน่งบริหารเข้าไปนั่งคุมกระทรวงทบวงกรมอยู่ในคณะรัฐมนตรีอีกต่อหนึ่ง

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อใช้อำนาจรัฐรวมศูนย์ส่วนกลางผัน [งบประมาณและทรัพยากรของหลวง + ค่าเช่าเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ + เงินทุจริตติดสินบาทคาดสินบน] ย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงเส้นสายเครือข่ายเลือกตั้งอุปถัมภ์ของตนจาก [ครม.> มุ้ง > ส.ส. > เจ้าพ่อ > หัวคะแนน > ชาวบ้านในพื้นที่] ไว้เป็นฐานเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
เป็นเรื่องง่ายที่จะชี้หน้าด่าประฌามว่า นี่เป็นความชั่วร้ายเลวทรามทางศีลธรรมส่วนตัวของ "คนไม่ดี" ที่ได้รับเลือกตั้งขึ้นมามีอำนาจ ซึ่งก็คงมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย ทว่าที่ยากยิ่งกว่าคือมองทะลุทะลวงไปถึงเหตุปัจจัยเชิงโครงสร้างว่าบรรดา "นักเลือกตั้ง" เหล่านี้ถูก "ล็อค" ด้วยระบบให้ต้องทุจริต มิฉะนั้นก็มิอาจหาเงินมาอุปถัมภ์ช่วยเหลือชาวบ้าน และหว่านซื้อรักษาฐานเสียงไว้ได้
เพราะหากแม้นแทนที่จะอาเงินมาซื้อเสียง พวกเขาจะเลือกซื้อใจชาวบ้านด้วยการเสนอและผลักดันนโยบายที่ชาวบ้านชนบทมีส่วนร่วมกำหนด และสะท้อนแทนตามผลประโยชน์ของตัวเองอย่างแท้จริง, ก็มิอาจทำได้อีกเหมือนกัน เพราะตลาดนโยบายของรัฐถูก "ล็อค" ไว้เสียแล้ว โดยคนชั้นกลางชาวเมืองผู้พูดได้ไอดัง ครอบงำสื่อสารมวลชนทางแนวคิด และวิถีชีวิตในฐานะผู้บริโภคสื่อกลุ่มใหญ่ที่สุด จนสามารถเป็นฐานนโยบายส่งอิทธิพลกดดัน กำหนด ตีกรอบ จำกัดนโยบายหลักของรัฐให้ลำเอียงเข้าข้างเมืองเรื่อยมาได้
แม้จะถูก "ล็อค" ด้วยระบบให้ทุจริต แต่ [เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล-นักเลือกตั้ง-นายหน้าการเมือง] เหล่านี้ก็เป็นผู้ได้เปรียบ ได้เสวยอำนาจและผลประโยชน์ในระบบที่ล็อคเขาไว้นั้น พวกเขาจึงตกเป็นเป้าโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ดูหมิ่นเกลียดชังของคนชั้นกลางชาวเมือง ทั้งในแง่ความชั่วร้ายทางศีลธรรม, ความคับแคบของโลกทัศน์, ความเป็นท้องถิ่นบ้านนอกทางวัฒนธรรม, การขาดทักษะความรู้ประสบการณ์และด้อยประสิทธิภาพในการบริหารรัฐกิจ - เศรษฐกิจสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ อันนำไปสู่ปรากฏการณ์ซ้ำซากที่.....
"คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล" หรือพูดให้ครบถ้วนรัดกุมขึ้นก็คือ
"คนต่างจังหวัดเลือกเจ้าพ่อไปตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาลของเจ้าพ่อ" นั่นเอง
4) สภาวะ "สองนัคราประชาธิปไตย" มิเพียงทำให้ "นัคราประชาธิปไตยในเมือง" กับ "นัคราประชาธิปไตยในชนบท" แปลกแยกไม่เข้าใจกันเท่านั้น หากยังทำให้มันบั่นทอนกำลังซึ่งกันและกัน กีดขวางการพัฒนาก้าวหน้าของกันและกันด้วย กล่าวคือ

ด้านหนึ่ง มันทำให้การเมืองระดับชาติตกอยู่ใต้การนำการบริหารของชนชั้นนำนักเลือกตั้งจากบ้านนอก-ท้องถิ่น ผู้มีวิสัยทัศน์และจิตตารมณ์มุ่งเน้นเฉพาะถิ่นของตน และขาดแคลนทักษะความรู้ประสบการณ์อันทันสมัยที่จำเป็นและเหมาะสม

อีกด้านหนึ่ง มันก็ทำให้การเมืองท้องถิ่นตกอยู่ใต้นโยบายชี้นำและการตัดสินใจ ที่กำหนดอย่างรวมศูนย์มาจากส่วนกลางระดับชาติ แทนที่จะเริ่มต้นและเกาะติดสภาพความเป็นจริง และเป็นไปได้ในท้องถิ่นรวมทั้งผลประโยชน์ ความเรียกร้องต้องการและวัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้านในพื้นที่อย่างแท้จริง

การเมืองระดับชาติถูกยึดกุมเหนี่ยวรั้งโดยชนชั้นนำผู้มีอิทธิพลจากท้องถิ่นมากไป (คนกรุงเทพฯจึงไม่พอใจและลุกขึ้นโค่นรัฐบาลเจ้าพ่อซ้ำซาก) ในทางกลับกันการเมืองท้องถิ่นกลับตกอยู่ใต้การชี้นำกำหนดจากนโยบายระดับชาติของส่วนกลางอย่างรวมศูนย์เกินไป
(ชาวบ้านชนบทจึงต้องพึ่งพาการอุปถัมภ์ของเจ้าพ่อแต่ไม่สามารถพึ่งตนเองได้เรื่อยมา)
5) อาจารย์เอนกได้เสนอแนวทางปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจเพื่อหลุดพ้นสภาวะ "สองนัคราประชาธิปไตย" ไว้พอสรุปได้ว่า:-
- แก้ไขลักษณะรวมศูนย์ (centralist) และผูกขาดอธิปัตย์ (monist) ของรัฐด้วยการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเองอย่างเสรีประชาธิปไตย และแบ่งปันอำนาจให้กลุ่มเอกชนต่างๆ ในสังคมดูแลจัดการตนเองอย่างเป็นเอกเทศ (น.42, 61)

- ทำให้การเมืองระดับชาติถูกกำหนดโดยปัจจัยและอิทธิพลท้องถิ่นน้อยลง (delocalization of national politics) และทำให้การเมืองท้องถิ่นถูกจำกัด หรือถูกกำหนดโดยส่วนกลางให้น้อยลง (denationalization of local politics) (น.52)

- ทำอย่างไรให้คนชั้นกลางไม่เป็นเพียงฐานนโยบาย หากเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองได้ด้วย ไม่เพียงแต่ล้มรัฐบาล หากตั้งรัฐบาลได้ด้วย, ในทางกลับกันทำอย่างไรให้ชาวนาชาวไร่ไม่เป็นเพียงฐานเสียง หากเป็นฐานนโยบายได้ด้วย ไม่เพียงแต่ตั้งรัฐบาล หากควบคุมและถอดถอนรัฐบาลได้เช่นกัน (น.12)

- แก้ไขช่องว่างแตกต่างทางเศรษฐกิจสังคมระหว่างเมืองกับชนบท โดยพัฒนาเมืองขนาดเล็กในชนบท (ซึ่งมีเกษตรกรรมทันสมัยและอุตสาหกรรมท้องถิ่นขนาดเล็ก) และเมืองขนาดกลางในภูมิภาค (ซึ่งมีเศรษฐกิจอุตสาหกรรม) ขึ้นมาให้กลายเป็นส่วนหลักของประเทศ มีหมู่บ้านล้าหลังยากจนและกรุงเทพฯ เป็นเพียงส่วนประกอบ (น.64,75)
นี่คือสภาวะทางการเมืองแต่เดิมที่รัฐบาลทักษิณ ณ ไทยรักไทยทะเยอทะยานจะเปลี่ยนแปลงในการครองตำแหน่งสมัยแรก - ไม่ใช่ตามแนวทางปฏิรูปที่อาจารย์เอนกเสนอ หากแต่ด้วยโครงการทักษิโณมิคส์ + ทักษิณาธิปไตยของตนเอง - จนกระทั่งมันสะดุดหยุดกึกลงในรอบปีที่ผ่านมา
กระบวนการดังกล่าวดำเนินมาอย่างไร ? ด้วยเหตุผลใด ? จะขอกล่าวต่อไปข้างหน้า
3. ที่เรียกว่าสัญญาประชาคมใหม่
เจ้าของทฤษฎีสองนัคราประชาธิปไตย เคยบอกผมตั้งแต่ครั้งยังสอนหนังสืออยู่ด้วยกันที่ธรรมศาสตร์ว่า ในเมืองไทย มีพลังการเมืองเพียงสองพลังเท่านั้นที่สนใจชาวนาจริงจัง คือ ๑. พคท. ๒. ศักดินา. พูดตามความเข้าใจด้วยภาษาของผมก็คือ ใครคิดกุมอำนาจนำเหนือชาติไทย ต้องขบแก้จัดการปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบทไทยให้จงได้
พคท.ใช้ยุทธศาสตร์ปฏิวัติ "ชนบทล้อมเมือง" ตามประธานเหมา เจ๋อ ตุง ที่สรุปเป็นสูตรว่า...อาศัยชาวนาดำเนินสงครามประชาชน สร้างฐานที่มั่นในชนบท ใช้ชนบทล้อมเมือง แล้วเข้ายึดเมืองในที่สุด...แต่ล้มเหลว ก็แล้วถ้า พคท.ยึดอำนาจสำเร็จ จะพัฒนาประเทศอย่างไร?
หากดูตัวอย่างจีนยุคเหมาฯ เมื่อยึดอำนาจรัฐได้แล้วก็ไม่ยอมเดินหนทางการพัฒนาแบบทุนนิยม และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมนิยมแบบสหภาพโซเวียต โดยพยายามรักษาดุลยภาพระหว่างเมืองกับชนบทไว้ ไม่ให้เกิดช่องว่างถีบห่างแตกต่างกันเกินไป ประสานจังหวะก้าวการพัฒนาเมือง-ชนบทเข้าหากัน สร้างสรรค์อุตสาหกรรมท้องถิ่นควบคู่ไปกับเกษตรกรรมในคอมมูน จำกัดควบคุมการเคลื่อนย้ายประชากร โดยเฉพาะจากชนบทสู่เมืองอย่างเข้มงวด ฯลฯ
แต่กระนั้น เมื่อดูแนวโน้มภาพรวมในระยะยาว เอาเข้าจริงจีนยุคเหมาฯก็ยังโอนย้ายถ่ายเทส่วนเกินทางเศรษฐกิจ (economic surplus) จากภาคเกษตรในชนบ ไปสร้างอุตสาหกรรมหนักในเมืองผ่านกลไกบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐ เพื่อแก้ปัญหาการสะสมทุนขั้นปฐม (primitive accumulation of capital) ของการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นแบบอุตสาหกรรม (industrialization) อยู่ดี
ขณะที่ตามตรรกะของการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยม ชาวนา (the peasantry) เป็นชนชั้นที่ต้องจากไปทางประวัติศาสตร์ (depeasantization) คือต้องเกิดการแตกตัวทางชนชั้น (class differentiation) ออกเป็นกระฎุมพีกับกรรมาชีพ (bourgeoisie & proletariat) พร้อมกับการแทรกทะลวงของทุนนิยมเข้าสู่ชนบทยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับนั้น
ในเมืองไทย ทางเลือกการพัฒนาที่ถูกนำเสนอคือ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในกรอบเศรษฐกิจทุนนิยมโลก โดยผูกทอสายใยเชื่อมโยงเมือง-ชนบท ผ่านโครงการพระราชดำริ นี่เป็นเรื่องราวก่อนตั้งพรรคไทยรักไทยและระบอบทักษิณได้อำนาจรัฐ
เพื่อกุมอำนาจนำเหนือชาติไทย รัฐบาลทักษิณ ณ พรรคไทยรัก ไทยได้เสนอสัญญาประชาคมใหม่เพื่อเชื่อมร้อยเมือง-ชนบท กล่าวคือ :-
จัดความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างเมืองกับชนบทเสียใหม่ โดยวางมันอยู่บนเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนที่จะ [กระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองอย่างต่อเนื่อง] + [แล้วใช้กลไกภาษี, มาตรการกึ่งการคลัง และการตั้งงบฯ กลางถ่ายโอนรายได้ไปดำเนินนโยบาย "ประชานิยม" แบบอุปถัมภ์-บริโภคนิยมสำหรับคนชนบท] ผ่านการสื่อประสานและการนำแบบรวมศูนย์องค์เดียวของรัฐบาลทักษิณ ณ พรรคไทยรักไทย
นี่คือฐานที่มาของความเข้าใจตนเองว่า "พรรคเรามันตั้งด้วยทั้งคนกรุงเทพฯ และคนต่างจังหวัด และรัฐบาลของเราก็อยู่ด้วยคนกรุงเทพฯและคนต่างจังหวัด" รวมทั้งวาทะเด็ดๆ ว่า "จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เรา ต้องดูแลเป็นพิเศษ...จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อย ต้องเอาไว้ทีหลัง"
เพื่อต่อสายตรงจาก [ผู้นำพรรค/รัฐบาล ---> ผ่าน รมว., ส.ส. และเจ้าหน้าที่ของพรรค/รัฐบาล ---> ไปยังคนชนบท] ก็ต้องตัดตอนนายหน้าคนกลางทางการเมืองหรือนัยหนึ่ง [เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล-หัวคะแนน-นักเลือกตั้ง] ออกไปเสีย
นี่เป็นที่มาส่วนหนึ่งของนโยบาย "สงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด" และ "สงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะผู้มีอิทธิพล" ที่มุ่งขจัด "ทุนล้าหลัง-ท้องถิ่น, ค้ายาเสพติด, บ่อน, ซ่อง, หวยเถื่อน" ออกไปจากวงการเมือง (ถ้อยคำของชัยอนันต์ สมุทวณิช)
ดังที่ทักษิณพูดตรงไปตรงมาในที่สัมมนาพรรคไทยรักไทยเมื่อ 18 ธ.ค. ศกก่อนว่า :-
"คำว่าพรรคการเมืองที่หัวใจคือประชาชน คือเราดิวติดต่อตรงไปยังประชาชน นายหน้าค้าความจน นายหน้าค้าความอ่อนแอทางการเมือง ผู้ที่เสียสละประโยชน์จากการที่เราทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการปราบยาเสพติด ปราบผู้มีอิทธิพล หวยเถื่อน หรือแม้กระทั่งปราบนักธุรกิจเลวๆ พวกนี้มันก็ต้องยืนตรงข้ามเราเป็นเรื่องธรรมดาแน่นอน คนเหล่านี้คือประชาชน แต่เป็นประชาชนที่เป็นนายหน้ามาโดยตลอด วันนี้เราต้องการดิวกับประชาชนที่เป็นรากหญ้า ที่เป็นประชาชนกลุ่มใหญ่ๆ ทั้งประเทศ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของกระแสคัดค้าน...." (มติชนรายวัน, 19 ธ.ค. 2548, น.2)
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลทักษิณ ณ พรรคไทยรักไทย ยังมุ่งพลิกเปลี่ยนเศรษฐกิจสังคมชนบทอย่างถอนรากถอนโคนด้วยนโยบาย "แปลงสินทรัพย์เป็นทุน แปลงตาสีตาสาเป็นเถ้าแก่ SME." สร้างเงื่อนไขทางกฎหมาย ยั่วให้เกษตรกรรายย่อยน้ำลายหก ในอันที่จะเอื้อมถึงสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ แลกกับการเอาที่ดินปฏิรูปไปค้ำประกัน เพื่อนำเงินมาเสี่ยงลงทุนทำธุรกิจ SME.
ส่วนที่ละไว้ในฐานที่ (มึงควร) เข้าใจ (เอาเอง) ระหว่างบรรทัดคือ :-
"แปลงสินทรัพย์เป็นทุน แปลงตาสีตาสา (ที่เก่งกับเฮง 10-20%) เป็นเถ้าแก่ (ส่วนตาสีตาสาที่ห่วยกับซวยอีก 80-90% ก็สมควรแล้วที่จะล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกแปลงเป็นลูกจ้างของเถ้าแก่ไป)"
นับเป็นการเร่งรัดกระบวนการแยกสลายชนชั้นชาวนา (depeasantization) ให้แตกตัวทางชนชั้นออกเป็นเถ้าแก่กระฎุมพีและลูกจ้างกรรมาชีพรวดเร็วยิ่งขึ้น ชนชั้นเกษตรกรรายย่อยที่อำเภอ"อาจสามารถ" จังหวัดร้อยเอ็ด และที่อื่นๆ ทั่วประเทศเหล่านี้แหละคือ "คนจน" ที่จะต้องถูกขจัดให้หมดไปเพื่อเห็นแก่ความมั่งคั่งของประเทศชาติ
เมื่อเอาสัญญาประชาคมใหม่ + สงครามต่อสู้เพื่อขจัดตัดตอนนายหน้าคนกลางทางการเมือง + นโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน แปลงตาสีตาสาเป็นเถ้าแก่กับลูกจ้าง มาวางเรียงเคียงกัน เราก็จะเห็นแนวนโยบายเต็มหน้ากระดานทั้งทางการเมือง + การสร้างพรรค + การเลือกตั้ง + การพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ เพื่อพลิกเปลี่ยนเงื่อนไขความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบท ให้หลุดพ้นภาวะตีบตันตามทฤษฎี "สองนัคราประชาธิปไตย" ออกไป
เป็นแนวนโยบายที่หากลองเปรียบเทียบกับข้อเสนอปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจเพื่อประชาธิปไตยของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ แล้ว ก็ยิ่งขุดรากถอนโคน เร่งร้อน รวบรัด และเด็ดขาดเหี้ยมเกรียมกว่ามาก. พูดตามความเห็นของอัมมาร สยามวาลา ก็คือ ดูๆ ไปเอาเข้าจริงนโยบายของรัฐบาลทักษิณนี้ อคติลำเอียงเข้าข้างเมืองยิ่งแรง
รัฐบาลทักษิณ ณ พรรคไทยรักไทยสมัยแรกดำเนินแนวนโยบายนี้ไปได้ระดับหนึ่ง เห็นความเปลี่ยนแปลงบ้างบางด้าน โดยเฉพาะชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ต้นปี 2548 ที่ฮือฮามาก อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันนี้เอง บรรดาเงื่อนไขซึ่งเอื้ออำนวยแก่แนวนโยบายดังกล่าว ก็เริ่มคลี่คลายเปลี่ยนแปลงไปจนดูเหมือนมันติดแหง็ก ชนเพดาน ยากจะผลักดันต่อไปได้

16. ราชวงศ์ถัง

ถัง (ค.ศ.618 -907 หรือ พ.ศ. 1161-1450) ราชวงศ์นี้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้จีนอย่างมาก ทั้งด้านศิลปกรรม วัฒนธรรม และอีกหลายๆ ด้าน หลี่หยวนได้ตั้งตัวเองเป็น พระเจ้าถังเกาจู่ หลังจากรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นแล้ว ก็เกิดการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทขึ้น ระหว่างโอรสหลี่เจี้ยนเฉิง หลี่ซื่อหมิน และหลี่หยวนจี๋ หลี่ซื่อหมินนั้น มีความดีความชอบมาก เนื่องจากรบชนะมาหลายครั้ง ต่อมา ก็เกิดกรณีศึกสายเลือดขึ้นที่ประตูเสียนอู่ (เสียนอู่เหมิน) หลี่ซื่อหมินได้สังหาร หลี่เจี้ยนเฉิง รัชทายาท และหลี่หยวนจี๋ และให้พระเจ้าถังเกาจู่ตั้งตนเป็นรัชทายาท และต่อมาพระเจ้าถังเกาจู่ก็สละราชสมบัติ ตั้งตนเองเป็นไท่ซ่างอ๋อง (สมเด็จพระราชบิดา)
ราชวงศ์ถังปกครองประเทศนานถึง 289 ปีตั้งแต่ ค.ศ. 618 เมื่อราชวงศ์ถังสถาปนาขึ้นจนถึง ค.ศ. 907 ราชวงศ์ถังถูกจูเวินโค่นลง ราชวงศ์ถัง แบ่งได้เป็นสองช่วงจากการก่อกบฎของอันลู่ซันและสื่อซือหมิง ช่วงแรกเป็นช่วงที่เจริงรุ่งเรือง ช่วงหลังเป็นช่วงที่เสื่อมโทรมลง จักรพรรดิถัง เกาจู่สถาปนาราชวงศ์ถัง หลี่ ซื่อหมิน โอรสของจักรพรรดิถังเกาจู่ได้นำกองทัพรวบรวมจีนเป็นเอกภาพใช้เวลานานถึง 10 ปี หลังจากเหตการณ์ประตูเสียนอู่เหมิน หลี่ซื่อหมินขึ้นครองราชย์จนเป็นจักรพรรดิถังไท่จง จักรพรรดิถังไท่จงบริหารประเทศอย่างแข็งขันจนทำให้ราชวงศ์ถังเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน อยู่ในฐานะนำหน้าทั่วโลกในสมัยนั้นทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและด้านอื่นๆ ซึ่งเรียกว่า ”ช่วงเจริญรุ่งเรืองรัชสมัยเจินกวน” หลังจากนั้น ในสมัยจักรพรรดิ์ถังเสวียนจงก็เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง เรียกว่า ”ช่วงเจริญรุ่งเรืองรัชสมัยไคหยวน” ประเทศเข้มแข็งเกรียงไกร ประชาชนมีความมั่งคั่ง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ในช่วงปลายรัชกาลถังเสวียนจงได้เกิดกบฎอันลู่ซันและสื่อซือหมิง จากนี้เป็นต้นมา ราชวงศ์ถังก็เริ่มเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ
ในสมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง ระบบการเมืองมีการพัฒนาไปไม่น้อยและมีส่งอิทธิพลต่อยุคหลังมาก เช่นระบบ 3 กระทรวง 6 ฝ่าย ระบบสอบจอหงวนและระบบภาษีเป็นต้น ในด้านการต่างประเทศ ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถังได้ใช้มาตรการที่ค่อนข้างเปิดประเทศ การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างประเทศมีบ่อยครั้ง ในด้านวรรณคดี บทกวีของราชวงศ์ถังมีผลงานอันยิ่งใหญ่ แต่ละช่วงล้วนมีกวียอดเยี่ยมเกิดขึ้น เช่นช่วงต้นของราชวงศ์ถังมีเฉินจื่ออ๋าง ช่วงเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ถังมีหลี่ไป๋และตู้ฝู่ ช่วงกลางของราชวงศ์ถังมีไป๋จวีอี้และหยวนเจิ่น ช่วงปลายของราชวงศ์ถังมีหลี่ซังอิ่นและตู้มู่ ขบวนการส่งเสริมบทความสมัยโบราณที่หานอวี๋ และหลิ่วจงหยวนริเริ่มมีอิทธิพลต่อคนยุคหลังมาก ลายมือเขียนพู่กันของเอี๋ยนเจินชิง ภาพวาดของหยานลี่เปิ่น อู่เต้าจื่อ หลี่ซือซุ่น และหวางเหวย ชุดระบำที่ชื่อ ”หนีซังอวี่อีอู่” และศิลปะในถ้ำหินต่าง ๆ ได้แพร่หลายจนถึงยุคปัจจุบัน ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิธีการพิมพ์และดินปืน ซึ่งเป็นสองอย่างในสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่สี่อย่างของจีนก็เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง
ราชวงศ์ถังช่วงหลังมีความวุ่นวายในด้านการเมือง เกิดการปะทะกันระหว่างพรรคหนิวและพรรคหลี่กับการกุมอำนาจของขุนนางขันที การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวนาเกิดขึ้นไม่ขาดสาย ในที่สุด การลุกขึ้นสู้ที่มีผู้นำได้แก่หวงเฉา จูเวินที่เคยเป็นบริวารของหวงเฉา แต่กลับไปยอมจำนนต่อรัฐบาลราชวงศ์ถัง หลังจากนั้น ก็ฉวยโอกาสโค่นราชวงศ์ถังลง ประกาศตนเป็นจักรพรรดิโดยสถาปนาราชวงศ์เหลียงยุคหลังซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของสมัยอู่ไต้หรือสมัยห้าราชวงศ์
เนื้อหา
[ซ่อน]
• 1 ประวัติศาสตร์
o 1.1 สถาปนาราชวงศ์ถัง
o 1.2 หลี่ซื่อหมินรวมแผ่นดิน
o 1.3 การปกครองสมัยราชวงศ์ถัง
o 1.4 เหตุเปลี่ยนแปลงที่ประตูเสียนอู่
o 1.5 ศักราชเจินกวน
o 1.6 จักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน
o 1.7 ดวงตะวันฉายแสง
o 1.8 อาทิตย์ดับยามเที่ยง
o 1.9 ยุคเสื่อมของราชวงศ์ถัง
o 1.10 ยุคขันทีครองเมือง
o 1.11 ลมหายใจเฮือกสุดท้าย
• 2 การขยายอำนาจของอาณาจักรถัง
• 3 สถาปัตยกรรม
• 4 วัฒนธรรม
o 4.1 วรรณกรรม
o 4.2 ศาสนาและปรัชญา
o 4.3 สิ่งประดิษฐ์
• 5 ดูเพิ่ม
• 6 อ้างอิง
• 7 แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้] ประวัติศาสตร์
[แก้] สถาปนาราชวงศ์ถัง
ปฐมจักรพรรดิถังเกาจู่หรือหลี่ยวน ถือกำเนิดในเชื้อสายชนชั้นสูงจากราชวงศ์เหนือ มีความเกี่ยวดองสายเครือญาติกับปฐมจักรพรรดิราชวงศ์สุยอย่างใกล้ชิด ครั้นถึงปลายราชวงศ์สุย แผ่นดินอยู่ในสภาพระส่ำระสายจากกลุ่มกองกำลังต่างๆ ที่ลุกฮือขึ้น ปี 617 หลี่ยวนที่รักษาแดนไท่หยวน ตกอยู่ในภาวะล่อแหลม เนื่องจากไท่หยวนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่กลุ่มกองกำลังต่างต้องการแย่งชิง ขณะเดียวกันก็ทราบว่าสุยหยางตี้ทรงระแวงว่าหลี่ยวนจะแปรพักตร์ จึงประกาศตัวเป็นอิสระจากราชสำนักเวลานั้น กองกำลังหวากั่ง และเหอเป่ย เข้าปะทะกับกองทัพสุย เป็นเหตุให้กำลังป้องกันของเมืองฉางอันอ่อนโทรมลง หลี่ยวนได้โอกาสบุกเข้ายึดเมืองฉางอันไว้ได้ จากนั้นตั้งหยางโย่ว เป็นฮ่องเต้หุ่น ปีถัดมา สุยหยางตี้ถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองเจียงตู หลี่ยวนจึงปลดหยางโย่ว ประกาศตั้งตนเป็นจักรพรรดิ สถาปนาราชวงศ์ถัง โดยมีนครหลวงอยู่ที่เมืองฉางอัน พร้อมกับแต่งตั้งโอรสองค์โตหลี่เจี้ยนเฉิง เป็นรัชทายาท หลี่ซื่อหมิน โอรสองค์รองเป็นฉินหวัง และหลี่หยวนจี๋ โอรสองค์เล็กเป็นฉีหวัง
[แก้] หลี่ซื่อหมินรวมแผ่นดิน
ภายหลังสถาปนาราชวงศ์ถัง แผ่นดินยังคงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังต่างๆ อาทิ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีเซียว์จี่ว์ ทางเหนือมีหลิวอู่โจว หวังซื่อชง สถาปนาแคว้นเจิ้ง ที่เมืองลั่วหยาง โต้วเจี้ยนเต๋อ ตั้งตนเป็นเซี่ยหวัง ที่เหอเป่ย (ทางภาคอีสานของจีน) ปลายปี 618 เซียว์จี่ว์เสียชีวิตกะทันหัน เซียว์เหยินเก่า บุตรชายสืบทอดต่อมา หลี่ซื่อหมินเห็นเป็นโอกาสรุกทางทหาร ยึดได้ดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ปี 619 กลุ่มกองกำลังของหลี่กุ่ย เกิดการแย่งชิงอำนาจ จึงเป็นโอกาสให้ราชวงศ์ถังเข้าครอบครองแดนเหอซี ปี 620 กวาดล้างกลุ่มกองกำลังของหลิวอู่โจว ปลายปีเดียวกัน หลี่ซื่อหมินยกทัพใหญ่เข้าปิดล้อมหวังซื่อชงที่ลั่วหยาง โต้วเจี้ยนเต๋อยกกำลังมาช่วย แต่ถูกหลี่ซื่อหมินโจมตีแตกพ่ายไป โต้วเจี้ยนเต๋อถูกจับ ภายหลังเสียชีวิตที่ฉางอัน หวังซื่อชงได้ข่าวการพ่ายแพ้ของโต้วเจี้ยนเต๋อจึงยอมจำนนต่อราชวงศ์ถัง ปี 622 ทัพถังกวาดล้างกองกำลังเหอเป่ยที่หลงเหลือ จากนั้นกองกำลังต่างๆ บ้างยอมสวามิภักดิ์ บ้างถูกปราบปรามจนราบคาบ ภารกิจเบื้องต้นในการรวมแผ่นดินถือได้ว่าสำเร็จลง ขณะที่ศึกแย่งชิงอำนาจในราชสำนักก็เริ่มปะทุขึ้น
[แก้] การปกครองสมัยราชวงศ์ถัง
การปกครองสมัยราชวงศ์ถัง ได้รับการยกย่องว่าเป็นการปกครองที่ดีที่สุดของจีน ราชวงค์อื่นมีแต่การช่วงชิงอำนาจเท่านั้นหลี่ซื่อหมินองค์ถังไท่จงฮ่องเต้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปกครองที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์จีนแม้วาจะได้ชื่อว่าก่อศึกสายเลือด สังหารพี่น้องแต่เป็นเรื่องที่มิอาจเลี่ยงได้และความจริงที่ควรได้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่ใช่พระบิดาอยู่แล้วแต่เป็นตัวหลี่ซื่อหมิงเองที่จัดการทุกอย่างการปกครองสมัยราชวงศ์ถังและการแต่งกายตลอดจนวัฒนธรรมมีผลสะท้อนไปไกลถึงญี่ปุ่นกล่าวกันว่าที่โตกุกาว่าเรืองอำนาจมาได้ถึงกว่าสามร้อยปีเพราะคัมภีร์เจินกวนเจิ้งเยาที่รจนาโดยอู๋จิงโดยคัมภีร์นี้คือสิ่งที่รวบรวมกุศโลบายและคำแนะนำต่างๆ ที่มีในยุคเจินกวนการปกครองสมัยหมิงมีบางส่วนนำมาจากสมัยถังเช่นกันแต่ไม่นำมาจากซ่งเพราะแนวนโยบายอ่อนแอเกินไป
[แก้] เหตุเปลี่ยนแปลงที่ประตูเสียนอู่
หลี่ซื่อหมินที่นำทัพปราบไปทั่วแผ่นดิน นับว่าสร้างผลงานความชอบที่โดดเด่น เป็นที่ริษยาของพี่น้อง ประกอบกับระหว่างการกวาดล้างกองกำลังน้อยใหญ่นั้นได้เพาะสร้างขุมกำลังทางทหาร และยังชุบเลี้ยงผู้มีความสามารถไว้ข้างกายจำนวนมาก อาทิ อี้ว์ฉือจิ้งเต๋อ หลี่จิ้ง ฝางเซวียนหลิ่ง เป็นต้น อันส่งผลคุกคามต่อรัชทายาทหลี่เจี้ยนเฉิง เป็นเหตุให้รัชทายาทเจี้ยนเฉิงร่วมมือกับฉีหวังหลี่หยวนจี๋เพื่อจัดการกับหลี่ซื่อหมิน ปัญหาข้อขัดแย้งดังกล่าวทำให้สองฝ่ายยิ่งทวีความเป็นปรปักษ์มากขึ้นจวบจนกระทั่งปี 626 หลี่ซื่อหมินชิงลงมือก่อน โดยกราบทูลเรื่องราวต่อถังเกาจู่ ถังเกาจู่จึงเรียกทุกคนให้เข้าเฝ้าในเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ขบวนของหลี่เจี้ยนเฉิงและหลี่หยวนจี๋ผ่านเข้าประตูเสียนอู่นั้น (ประตูใหญ่ทางทิศเหนือของวังหลวง)หลี่ซื่อหมินก็นำกำลังเข้าจู่โจมสังหารรัชทายาท และฉีหวัง เหตุการณ์ครั้งนี้ต่อมาได้รับการเรียกขานว่า เหตุเปลี่ยนแปลงที่ประตูเสียนอู่ภายหลังเหตุการณ์ ถังเกาจู่แต่งตั้งหลี่ซื่อหมินเป็นรัชทายาท จากนั้นอีกสองเดือนต่อมาก็ทรงสละราชย์ ให้หลี่ซื่อหมินขึ้นครองบัลลังก์ต่อมา ทรงพระนามว่า ถังไท่จง และประกาศให้เป็นศักราชเจินกวน (ปี 627 – 649)
[แก้] ศักราชเจินกวน
ต้นศักราชเจินกวน บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพทรุดโทรมเสียหายจากสงครามกลางเมือง ประชาชนต้องเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัย จักรพรรดิถังไท่จงได้รับบทเรียนจากการล่มสลายของราชวงศ์สุย อันเป็นที่มาของคำกล่าวว่า “กษัตริย์เปรียบเสมือนเรือ ส่วนประชาชนคือน้ำ น้ำสามารถหนุนส่งเรือให้ลอย และสามารถจมเรือได้เช่นกัน” ทราบว่า การรีดเลือดกับปู ถ้าราษฎรอยู่ไม่ได้ ผู้ปกครองก็ไม่อาจดำรงอยู่เช่นกัน ดังนั้นจึงตั้งอกตั้งใจในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มกำลัง ทรงดำเนินนโยบายที่เปิดกว้าง ผ่อนปรนการเรียกเก็บภาษี ลดการลงทัณฑ์ที่รุนแรง แต่เน้นความถูกต้องยุติธรรมมากกว่า เร่งพัฒนากำลังการผลิต จัดสรรที่ดินทำกินให้กับราษฎรได้กลับคืนสู่ไร่นาและดำเนินวิถีชีวิตตามปกติ ช่วงเวลาดังกล่าว มีการตรากฎหมายเพิ่มขึ้น เปิดการสอบคัดเลือกบุคลากรเข้ารับราชการจากบุคคลทั่วไป ไม่เลือกยากดีมีจน ไม่จำกัดอยู่แต่ชนชั้นขุนนางดังแต่ก่อน ทั้งมีการตรวจตราการทำงานของบรรดาขุนนางท้องถิ่นอย่างเข้มงวด เลือกใช้คนดีมีปัญญา ถอดถอนคนเลว นอกจากนี้ ยังเปิดรับฟังความคิดเห็นและคำทักท้วงจากขุนนางรอบข้าง เพื่อแก้ไขปรับปรุงข้อผิดพลาดในการบริหารแผ่นดินได้อย่างทันการณ์ รอบข้างจึงเต็มไปด้วยอัจฉริยะบุคคลที่ตั้งอกตั้งใจทำงาน อย่าง ฝางเซวียนหลิ่ง เว่ยเจิง หลี่จิ้ง เวินเหยียนป๋อ เป็นต้น อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ศักราชเจินกวนมีการบริหารการปกครองที่โปร่งใสและมีเสถียรภาพในด้านแนวคิดการศึกษา จักรพรรดิถังไท่จงให้ความสำคัญต่อการรวบรวมและจัดเก็บตำราความรู้วิทยาการและประวัติศาสตร์เป็นหมวดหมู่ ทั้งยังเปิดกว้างในการนับถือและเผยแพร่แนวคิดในลัทธิศาสนาต่างๆ เช่น พุทธศาสนา เต๋า หยู(ลัทธิขงจื้อ) รวมทั้งศาสนาบูชาไฟของเปอร์เซีย ศาสนาแมนนี และคริสต์ศาสนาเหตุการณ์ที่มีความสำคัญต่อการเผยแพร่พุทธศาสนา ได้แก่ หลวงจีนเซวียนจั้ง หรือพระถังซำจั๋ง ได้เดินทางไปยังประเทศอินเดียอันไกลโพ้น เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมา แปลเป็นภาษาจีนและเผยแพร่ออกไป ทำให้พุทธศาสนาในสมัยราชวงศ์ถังเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในเวลาต่อมานอกจากนี้ ถังไท่จงยังส่งเสริมและให้ความสำคัญกับการจัดแบบแผนการศึกษา มีการสร้างสถานศึกษาสำหรับบรรดาลูกหลานผู้นำ เรียกว่า สำนักศึกษาหงเหวินก่วน เปิดสอนศาสตร์สาขาต่างๆในการเป็นผู้นำ อาทิ การบริหารการปกครอง กฎหมาย วรรณคดี อักษรศาสตร์ การคำนวณ ฯลฯ เพื่ออบรมบ่มเพาะบรรดาลูกหลานที่เป็นทายาทเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และชนชั้นสูง ทั้งยังจัดตั้งสำนักศึกษาในศาสตร์สาขาต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นรอบนอกจึงนิยมส่งบุตรหลานของตนเข้ามาศึกษายังนครฉางอัน ทำให้ในเวลานั้นจีนกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาวิทยาการต่างๆ ในแถบภูมิภาคนี้ในรัชสมัยนี้ ได้มีการปฏิรูปโครงสร้างการปกครอง ที่เน้นการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง เพื่อป้องกันการก่อหวอดของผู้มีกำลังทหารอยู่ในมือดังที่ผ่านมา ข้าราชการท้องถิ่นไม่มีสิทธิ์เคลื่อนพล ในภาวะสงคราม ส่วนกลางจะเป็นผู้สั่งระดมพลจากที่ต่างๆ จากนั้นจัดส่งนายทัพไปบัญชาการรบ ภายหลังเสร็จศึก ทหารกลับสู่กรมกอง แม่ทัพกลับคืนสู่ราชสำนัก
[แก้] จักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน
ดูบทความหลักที่ บูเช็กเทียน
อู่เจ๋อเทียน หรือ บูเช็กเทียน เป็นฮองเฮาในถังเกาจงหลี่จื้อ มีชื่อว่า ‘เจ้า’ บิดาเป็นพ่อค้าไม้ ปลายราชวงศ์สุยได้มีการติดต่อกับหลี่ยวน ต่อมาเมื่อหลี่ยวนสถาปนาราชวงศ์ถัง ก็ติดตามมาตั้งรกรากที่นครฉางอัน เข้ารับราชการต่อมา เมื่อบูเช็กเทียนอายุได้ 14 ปี ถูกเรียกตัวเข้าวังเป็นนางสนมรุ่นเยาว์ในรัชกาลถังไท่จงหลี่ซื่อหมิน เมื่อถังไท่จงสวรรคต จึงต้องออกบวชเป็นชีตามโบราณราชประเพณี หลังจากถังเกาจงหลี่จื้อขึ้นครองราชย์ก็รับตัวบูเช็กเทียนเข้าวังมา ด้วยการสนับสนุนจากหวังฮองเฮาที่กำลังขัดแย้งกับสนมเซียว และต่างฝ่ายต่างคอยให้ร้ายกัน ต่อมาในปี 655 ถังเกาจงคิดจะปลดหวังฮองเฮา และตั้งบูเช็กเทียนขึ้นแทน แต่เสนาบดีเก่าแก่ ฉางซุนอู๋จี้ และฉู่ซุ่ยเหลียง แสดงท่าทีคัดค้าน ส่วนหลี่อี้ฝู่ และสี่ว์จิ้งจง แสดงความเห็นคล้อยตาม ต่อมาเมื่อถังเกาจงปลดหวังฮองเฮา แต่งตั้งบูเช็กเทียนขึ้นเป็นฮองเฮาแทน ฉางซุนอู๋จี้ ฉู่ซุ่ยเหลียงและกลุ่มที่คัดค้านต่างทยอยถูกปลดจากตำแหน่ง บ้างถูกบีบคั้นให้ฆ่าตัวตาย ส่วนหวังฮองเฮาและสนมเซียวก็ไม่อาจรอดพ้นชะตากรรมได้ ภายหลัง ถังเกาจงร่างกายอ่อนแอ ล้มป่วยด้วยโรครุมเร้า ไม่อาจดูแลราชกิจได้ บูฮองเฮาเข้าช่วยบริหารราชการแผ่นดิน จึงเริ่มกุมอำนาจในราชสำนัก สุดท้ายสามารถรวบอำนาจไว้ทั้งหมดปี 683 รัชทายาท หลี่เสี่ยน โอรสองค์ที่สามของบูฮองเฮาขึ้นครองราชย์ต่อมา พระนามว่า ถังจงจง ปีถัดมา บูเช็กเทียนปลดถังจงจงแล้วตั้งเป็นหลูหลิงหวัง จากนั้นตั้งหลี่ตั้น ราชโอรสองค์ที่สี่ขึ้นครองราชย์แทน พระนามว่าถังรุ่ยจง แต่ไม่นานก็ปลดจากบัลลังก์เช่นกัน ระหว่างนี้ กลุ่มเชื้อพระวงศ์ตระกูลหลี่และขุนนางเก่าที่ออกมาต่อต้านอำนาจของตระกูลบูล้วนถูกกำจัดกวาดล้างอย่างเหี้ยมโหด ฐานอำนาจของกลุ่มตระกูลหลี่อ่อนโทรมลงอย่างมาก กระทั่งปี 690 บูเช็กเทียนประกาศเปลี่ยนราชวงศ์ถังเป็น ราชวงศ์โจว หรือในประวัติศาสตร์จีนเรียกว่า ราชวงศ์อู่โจว มีนครหลวงที่ลั่วหยาง ตั้งตนเป็นจักรพรรดินี ทรงอำนาจสูงสุด ด้วยวัย 67 ปี ถือเป็นจักรพรรดินีองค์แรกและองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน แม้ว่าการเข่นฆ่ากวาดล้างศัตรูทางการเมืองขนานใหญ่ ส่งผลให้บรรยากาศบ้านเมืองขณะนั้นเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความกลัว แต่โดยทั่วไปแล้ว สภาพเศรษฐกิจและสังคมยังมีความเจริญรุ่งเรือง บูเช็กเทียนได้ปรับปรุงระบบโครงสร้างการปกครองท้องถิ่น การสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการและทหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งบ่มเพาะบุคลากรที่มีความสามารถมากมาย ซึ่งส่งผลให้ในรัชกาลถังเสวียนจงในเวลาต่อมา แวดล้อมด้วยเสนาอำมาตย์ที่ทรงภูมิความรู้และคุณวุฒิเป็นผู้ช่วยเหลือ เมื่อถึงปี 705 ขณะที่พระนางบูเช็กเทียนวัย 82 ปี ล้มป่วยลงด้วยชราภาพ เหล่าเสนาบดีที่นำโดยจางเจี่ยนจือ ก็ร่วมมือกันก่อการ โดยบีบให้บูเช็กเทียนสละราชย์ให้กับโอรสของพระองค์ ถังจงจงหลี่เสี่ยน ทั้งรื้อฟื้นราชวงศ์ถังกลับคืนมา ภายหลังเหตุการณ์ไม่นาน บูเช็กเทียนสิ้น
[แก้] ดวงตะวันฉายแสง
ภายหลังรัชกาลของบูเช็กเทียน สภาพการเมืองภายในราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย เนื่องจากถังจงจงอ่อนแอ อำนาจทั้งมวลตกอยู่ในมือของเหวยฮองเฮา ที่คิดจะยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกับบูเช็กเทียน เหวยฮองเฮาหาเหตุประหารรัชทายาท จากนั้นในปี 710 วางยาพิษสังหารถังจงจง โอรสองค์ที่สามของถังรุ่ยจง นามหลี่หลงจี ภายใต้การสนับสนุนขององค์หญิงไท่ผิง ชิงนำกำลังทหารบุกเข้าวังหลวงสังหารเหวยฮองเฮาและพวก ภายหลังเหตุการณ์องค์หญิงไท่ผิงหนุนถังรุ่ยจงขึ้นครองราชย์ แต่งตั้งหลี่หลงจีเป็นรัชทายาท แต่แล้วองค์หญิงไท่ผิงพยายามเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่เกิดขัดแย้งกับรัชทายาทหลี่หลงจี ปี 712 ถังรุ่ยจงสละราชย์ให้กับโอรส หลี่หลงจีเมื่อขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า ถังเสวียนจง สิ่งแรกที่กระทำคือกวาดล้างขุมกำลังขององค์หญิงไท่ผิง นำพาสันติสุขกลับคืนมาอีกครั้ง
[แก้] อาทิตย์ดับยามเที่ยง
ต้นรัชกาลถังเสวียนจงบริหารบ้านเมืองอย่างจริงจัง รอบข้างแวดล้อมด้วยขุนนางผู้ทรงความรู้ความสามารถมากมาย มีการปฏิรูปการบริหารการปกครองครั้งใหญ่ ตัดทอนรายจ่ายฟุ้งเฟ้อที่เคยมีในรัชกาลก่อน ลดขนาดหน่วยงานราชการที่ใหญ่โตเทอะทะ กวาดล้างขุนนางฉ้อราษฎร์ที่มาจากการซื้อขายตำแหน่ง จัดระเบียบและรวบรวมผลงานวรรณกรรมและวิทยาการต่างๆ บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองถึงจุดสูงสุดแต่แล้วในปลายรัชสมัย เนื่องจากบ้านเมืองสงบสุขเป็นเวลานาน ถังเสวียนจงค่อยวางมือจากราชกิจ ปี 744 นับแต่รับตัวหยางอวี้หวนเป็นสนมกุ้ยเฟยไว้ข้างกาย ก็ลุ่มหลงกับการเสพสุขในบั้นปลาย ทอดทิ้งภารกิจบริหารราชการแผ่นดิน จนเป็นโอกาสให้เสนาบดีหลี่หลินฝู่ เข้ากุมอำนาจ แสวงหาอำนาจส่วนตน คอยกีดกันขุนนางและนายทัพที่มีความดีความชอบ ริดรอนขุมกำลังจากส่วนกลางในที่ไม่ใช่พรรคพวกตน ขณะที่ให้การสนับสนุนแม่ทัพชายแดนที่มาจากกลุ่มชนเผ่าภายนอก เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดภาวะตึงเครียดตามแนวชายแดนกับทิเบต ทูเจี๋ยว์ เกาหลี และน่านเจ้าทางภาคใต้ กำลังทหารรับจ้างที่ต้องประจำอยู่ตามแนวพรมแดนมีจำนวนมากขึ้น แม่ทัพชายแดนจึงกุมอำนาจเด็ดขาดทางทหารไว้ได้ หลังจากหลี่หลินฝู่เสียชีวิต หยางกั๋วจง ญาติผู้พี่ของสนมหยางกุ้ยเฟยได้ขึ้นเป็นเสนาบดีแทน แต่กลับเลวร้ายยิ่งกว่า ด้วยถืออำนาจบาตรใหญ่ ฉ้อราษฎร์บังหลวง การโกงกินของขุนนางทำให้ระบบการจัดสรรที่นาและการเกณฑ์ทหารล้มเหลว กำลังทหารอ่อนโทรมลง ช่วงเวลาดังกล่าว เกิดเหตุขัดแย้งจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างหยางกั๋วจงเสนาบดีคนใหม่กับอันลู่ซัน แม่ทัพชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเหตุให้อันลู่ซันหาเหตุยกกำลังบุกเข้านครฉางอันถังเซวียนจงและหยางกุ้ยเฟยหลบหนีลงใต้ ระหว่างทางบรรดานายทหารที่โกรธแค้นพากันจับตัวหยางกั๋วจงสังหารเสีย จากนั้นบีบบังคับให้ถังเซวียนจงประหารหยางกุ้ยเฟย จากนั้นเดินทัพต่อไปถึงแดนเสฉวน ขณะเดียวกัน รัชทายาทหลี่เฮิง หลบหนีไปถึงหลิงอู่(ปัจจุบันอยู่ในมณฑลหนิงเซี่ย) ก็ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นครองราชย์ต่อมา พระนามว่า ถังซู่จง
ฝ่ายกองกำลังกบฏเมื่อได้ชัย ก็เข้าปล้นชิงทรัพย์สินราษฎร ปี 757 เกิดการแตกแยกภายใน อันลู่ซันถูกชิ่งซี่ว์ บุตรชายสังหาร ทัพถังได้โอกาสยกกำลังบุกยึดนครฉางอันและลั่วหยางกลับคืนมา แต่แล้วในปี758 สื่อซือหมิงขุนพลเก่าของอันลู่ซันก่อการอีกครั้ง ที่เมืองฟั่นหยาง (ปักกิ่ง) สังหารอันชิ่งซี่ว์ จากนั้นบุกยึดนครลั่วหยางได้อีกครั้ง ปี 761 ระหว่างยกกำลังบุกฉางอันถูกเฉาอี้ บุตรชายสังหารเช่นกัน เป็นเหตุให้กองกำลังระส่ำระสาย ทัพถังได้โอกาสร่วมกับกองกำลังของชนเผ่าหุยเหอ ตีโต้กลับคืน เฉาอี้พ่ายแพ้ฆ่าตัวตาย เหตุวิกฤตจากกบฏอันลู่ซันและสื่อซือหมิง ตั้งแต่ปี 755 – 763 จึงกล่าวได้ว่าสงบราบคาบลง ความเสียหายร้ายแรงที่เกิดจากการกบฏครั้งนี้ เป็นเหตุให้ยุคทองของราชวงศ์ถังดับวูบลง อย่างไม่อาจฟื้นคืนกลับคืนมาเช่นเมื่อครั้งก่อนเก่าได้อีก
[แก้] ยุคเสื่อมของราชวงศ์ถัง
ระหว่างเกิดกบฏอันลู่ซัน สภาพเศรษฐกิจและสังคมในเขตเมืองที่กบฏอันลู่ซันเข้าปล้นสะดมได้รับความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง กองทัพถังถูกเรียกระดมกลับเข้าสู่ส่วนกลางเป็นจำนวนมาก ป้อมรักษาการณ์เขตชายแดนว่างเปล่า เป็นเหตุให้อาณาจักรรอบนอก อาทิ ถู่ฟานหรือทิเบตทางภาคตะวันตก และอาณาจักรน่านเจ้าทางทิศใต้ต่างแยกตัวเป็นอิสระ ทั้งยังรุกรานเข้ามาเป็นครั้งคราว ช่วงปลายวิกฤตในปี 762 เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงในราชสำนักถังโดยขันทีหลี่ฝู่กั๋ว สังหารจางฮองเฮา ถังซู่จงสิ้น ขันทีหลี่ฝู่กั๋วจึงยกรัชทายาทหลี่อวี้ขึ้นครองราชย์ พระนามว่าไต้จง ภายหลังกบฎอันลู่ซัน ภาพลักษณ์ความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของอาณาจักรสั่นคลอนครั้งใหญ่ บรรดาแม่ทัพรักษาชายแดนต่างสะสมกองกำลังของตนเอง แม้ว่าในนามแล้วยังรับฟังคำสั่งจากราชสำนัก แต่ไม่จัดเก็บภาษีเข้าสู่ส่วนกลาง ทั้งสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพโดยผ่านทางสายเลือด ไม่ยอมรับการแต่งตั้งจากส่วนกลางอีก ขอบเขตอำนาจจากส่วนกลางหดแคบลง เหลือเพียงดินแดนแถบเสฉวน ส่านซีและซันซี สภาพบ้านเมืองเสื่อมทรุด ภายนอกเป็นสงครามแก่งแย่งของเหล่าขุนศึก ภายในยังมีการช่วงชิงในราชสำนัก
[แก้] ยุคขันทีครองเมือง
ต้นราชวงศ์ถัง ปริมาณขันทีมีไม่มากนัก สถานภาพทางสังคมยังต่ำต้อย ไม่มีสิทธิ์ข้องเกี่ยวทางการทหาร แต่เมื่อถึงรัชสมัยถังเสวียนจง ปริมาณขันทีเพิ่มมากขึ้น โดยหัวหน้าขันทีเกาลี่ซื่อ ได้รับความไว้วางพระทัยอย่างสูง ช่วงปลายรัชกาลถังเสวียนจงละเลยราชกิจ หนังสือถวายรายงานทั้งหลาย ล้วนต้องผ่านเกาลี่ซื่อก่อน ทั้งมีอำนาจจัดการตัดสินชี้ขาดต่างพระเนตรพระกรรณ ขันทีผู้ใหญ่ยังเข้ารับหน้าที่สำคัญๆ อย่างการออกตรวจพล และเป็นราชทูต ตัวแทนพระองค์ ฯลฯ เมื่อถึงรัชกาลถังซู่จง ขันทีหลี่ฝู่กั๋ว ที่หนุนพระองค์ขึ้นครองบัลลังก์ ระหว่างลี้ภัยกบฏอันลู่ซันก็ยิ่งได้รับความไว้วางพระทัย จนสามารถกุมอำนาจสั่งการทหารองครักษ์ในวังหลวงทั้งหมดหลังจากรัชสมัยถังไต้จง(762 – 779) ขันทีมีหน้าที่เป็นตัวแทนพระองค์ออกตรวจกำลังพล ประกาศราชโองการ ตรวจตราหนังสือกราบทูล ดูแลหน่วยข่าวกรองและสืบราชการลับ และองค์รักษ์วังหลวงทั้งหมด ทั้งสามารถแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าการทหารท้องถิ่น มีอิทธิพลล้นฟ้า อำนาจในราชสำนักจึงตกอยู่ในมือของเหล่าขันที กษัตริย์ราชวงศ์ถังในรัชกาลต่อมา บ้างสิ้นพระชนม์ด้วยมือขันที และบ้างขึ้นสู่ราชบัลลังก์ด้วยมือของขันที ยุคขันทีครองเมืองนี้ได้นำพาสังคมสู่ภัยพิบัติ เนื่องจากขันทีไม่ได้มีฐานอำนาจจากขุนนางอยู่แต่เดิม มือเท้าที่คอยทำงานให้ก็เป็นกลุ่มพ่อค้าและอันธพาลร้านถิ่น สภาพสังคมวุ่นวายสับสน ต่างแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินและอำนาจส่วนตน ทั้งกษัตริย์ ขุนนางที่ไม่ยินยอมตกอยู่ภายใต้คำบงการของกลุ่มขันทีได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ดังนั้น จึงมักเกิดเหตุการณ์ลุกฮือขึ้นต่อต้านเป็นระยะ
[แก้] ลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ภายหลังกบฏอันลู่ซัน เศรษฐกิจสังคมเสียหายหนัก มีราษฎรสูญเสียทรัพย์สินและที่ดินทำกินเป็นจำนวนมาก ประกอบกับการโกงกินของข้าราชการขุนนาง ทำให้ระบบการปกครองล้มเหลว ประชาชนไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ตามปกติสุข สุดท้ายต้องลุกฮือขึ้นก่อการ เริ่มจากปี 875 กลุ่มพ่อค้าเกลือเถื่อนหวังเซียนจือ ลุกฮือขึ้นก่อการ จากนั้นเป็นกบฏหวงเฉา ลุกฮือขึ้นหนุนเสริม ภายหลังหวังเซียนจือเสียชีวิตในการต่อสู้ หวงเฉาจึงกลายเป็นผู้นำต่อมา โดยยึดได้ดินแดนทางตอนใต้เกือบทั้งหมด จากนั้นมุ่งตะวันออกอย่างรวดเร็ว กบฏหวงเฉาสยายปีกขึ้นเหนือ ยึดได้ฉางอัน สถาปนาแคว้นต้าฉี ในปี 880 บีบให้ถังซีจง(873 – 887)หลบหนีไปยังแดนเสฉวน ภายหลัง แม้ว่ากบฏหวงเฉาถูกปราบราบคาบลง แต่ครั้งนี้ ราชสำนักได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่อาจฟื้นตัวได้อีก ได้แต่รอวันดับสูญอย่างช้าๆ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการปราบปรามกบฏหวงเฉาคนหนึ่งคือ จูเฉวียนจง แต่เดิมชื่อจูเวิน เคยเป็นขุนพลใต้ร่มธงของหวงเฉา แต่ภายหลังหันมาสวามิภักดิ์กับราชวงศ์ถัง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าหน่วยปราบปรามในแดนเหอตง และได้รับพระราชทานนามว่าเฉวียนจง (แปลว่าซื่อสัตย์จงรักภักดี) ปีถัดมาได้เลื่อนเป็นแม่ทัพรักษาดินแดนหน่วยเซวียนอู่ พอถึงปี 884 จูเฉวียนจงร่วมมือกับหลี่เคอย่ง ชนเผ่าซาถัว เข้าปราบกองกำลังของหวงเฉา ภายหลังเหตุการณ์ กองกำลังที่นำโดย จูเฉวียนจง หลี่เคอย่อและหลี่เม่าเจิน ถือเป็นกองกำลังที่ทรงอำนาจที่สุดในขณะนั้นกบฏหวงเฉาจบสิ้นไปแล้ว แต่การแก่งแย่งในราชสำนักยังไม่จบสิ้น ทั้งที่ความจริงอำนาจราชสำนักเหลือเพียงแต่เปลือก หลังจากถังเจาจง (888 – 904)ขึ้นครองราชย์ ก็ร่วมมือกับกลุ่มเสนาบดีชุยยิ่น เพื่อกำจัดอำนาจขันทีในวัง จึงนัดหมายกับจูเฉวียนจงให้เป็นกำลังสนับสนุนจากภายนอก ปี 903 หลังจากจูเฉวียนจงโจมตีกองกำลังของหลี่เม่าเจินที่ให้การสนับสนุนฝ่ายขันทีแตกพ่ายไป ก็นำกำลังทหารบุกเข้าฉางอัน กวาดล้างเข่นฆ่าขันทีในวังครั้งใหญ่ เป็นอันสิ้นสุดยุคขันทีครองเมืองจูเฉวียนจงได้รับการปูนบำเหน็จความดีความชอบจากการกวาดล้างขันที ให้เป็นเหลียงหวัง กุมอำนาจบริหารแผ่นดินอย่างเบ็ดเสร็จแต่ผู้เดียว แต่แล้วในปี 904 จูเฉวียนจงสังหารเสนาบดีชุยยิ่นและถังเจาจง แต่งตั้งถังอัยตี้ วัย 13 ขวบขึ้นเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดแทนจากนั้นในปี 907 จูเฉวียนจงปลดถังอัยตี้ ตั้งตนเป็นใหญ่ สถาปนาแคว้นเหลียงขึ้น โดยมีนครหลวงที่เมือง เปี้ยนโจว (ปัจจุบันคือเมืองไคฟง) ราชวงศ์ถังจึงถึงกาลอวสาน
[แก้] การขยายอำนาจของอาณาจักรถัง


"เขตแดนยุคจักรพรรดิถังไท่จง" 616-649
การขยายอำนาจของจักรวรรดิถัง:
ซันซี (617 : his father is governor, Taizong encouraged him to revolt.) Sui's China by 622-626.(618). Tang dynasty 618. Controlled all of Sui's China by 622-626. Submit the Oriental Turks territories (630-682) Tibetan's King recognizes China as their emperor[1] (641-670) Submit the Occidental Turks territories (642-665) (idem) add the Oasis (640-648 : northern Oasis ; 648 : southern Oasis) [Not shown in the map : Conquest of Goguryeo by his son (661-668)] The two darkest area are truly the Chinese empire, the 3 lightest area are temporaly vasalised. Borders are not factual, they are indicatives.
ทิศเหนือ รบชนะพวกเติร์กมีอำนาจเหนือมองโกเลีย
ทิศตะวันออก มีอำนาจเหนือคาบสมุทรเกาหลี
ทิศใต้ มีอำนาจเหนือเวียดนาม
ทิศตะวันตก รบชนะพวกอุยเกอร์มีอำนาจเหนือซินเจียง
[แก้] สถาปัตยกรรม

เจดีย์ห่านใหญ่สถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์ถัง
สมัยราชวงศ์ถัง เป็นช่วงที่เศรษฐกิจและวัฒนธรรมในสังคมศักดินาพัฒนาเร็วที่สุด ลักษณะพิเศษของสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถังคือมีขนาดใหญ่โต มี ระบบระเบียบ ใช้สีไม่ค่อยมากแต่ลายชัดเจนดี ในเมืองฉางอานเมืองหลวงสมัยราชวงศ์ถัง (เมืองซีอานในปัจจุบัน) และเมืองลั่วหยางเมืองหลวงทางตะวันออกของราชวงศ์ถังต่างก็เคยสร้างวังหลวงอุทยานและที่ทำการเป็นจำนวนมาก เมืองฉางอันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโลกในสมัยนั้น วังค้าหมิงในเมืองฉางอันใหญ่มาก เขตซากของวังนี้กว้างกว่ายอดจำนวนพื้นที่วังต้องห้ามสมัยหมิงและชิงในกรุงปักกิ่ง 3 เท่ากว่า ๆ สถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยไม้ในสมัยราชวงศ์ถังสวยมาก วิหารประธานในวัดโฝกวางเขต อู่ไถซาน มณฑลซานซี ก็คือสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถังที่เป็นแบบฉบับ นอกจากนี้สถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยอิฐและก้อนหินในสมัยราชวงศ์ถังก็ได้รับ การพัฒนาอีกขั้นหนึ่ง เจดีย์ห่านใหญ่ เจดีย์ห่านเล็กในเมืองซีอันและเจดีย์เชียนสุน ในเมืองต้าหลี่ต่างก็เป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยอิฐและก้อนหิน
จักรวรรดิโรมัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา


จักรวรรดิโรมัน
IMPERIUM ROMANUM
จักรวรรดิ
<-
พ.ศ. 517 - พ.ศ. 1019 ->
->

สัญลักษณ์



ไม่มีข้อมูลธงชาติ ไม่มีข้อมูลตราแผ่นดิน
คำขวัญ
Senatus Populusque Romanus (SPQR)
แผนที่

จักรวรรดิโรมันในช่วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เมื่อประมาณ พ.ศ. 660
ข้อมูลทั่วไป[ซ่อน]
เมืองหลวง
โรม
(พ.ศ. 500-พ.ศ. 829)
คอนสแตนติโนเปิล
(ตั้งแต่ พ.ศ. 873)

ภาษา
ละติน ต่อมา (ในจักรวรรดิตะวันออก) กรีก

ศาสนา
ลัทธิโรมัน ต่อมา คริสต์ศาสนา

สกุลเงิน
Solidus, Aureus, Denarius, Sestertius, As
การปกครอง ราชาธิปไตย

จักรพรรดิ

- พ.ศ. 517-557 ออกุสตุส

- พ.ศ. 1018-1019 โรมิวลุส ออกุสตุส
กงสุล

- พ.ศ. 517-521 ออกุสตุส

- พ.ศ. 1019 บาซิลิสคุส
สภานิติบัญญัติ สภาซีเนต

- สภาสูง {{{house1}}}
- สภาล่าง {{{house2}}}
ยุคประวัติศาสตร์ Classical antiquity
- พ.ศ. 517 ออกุสตุส ซีซาร์ประกาศตัวเป็นผู้ปกครองคนเดียว
- 2 กันยายน พ.ศ. 513
ยุทธการแอคทิอุม

- 16 มกราคม พ.ศ. 517
ออคเตเวียน ได้เป็นออกุสตุส

- พ.ศ. 828
ไดโอคลีเชียนแยกการปกครองเป็นฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก
- พ.ศ. 873
พระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1 ประกาศให้คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวงใหม่

- {{{date_end}}} โรมิวลุส ออกุสตุส ถูกยึดอำนาจโดย Odoacer

เนื้อที่

- สูงสุด 5,900,000 กม.2
2,278,003 ไมล์2
ประชากร

- สูงสุด 88,000,000
ความหนาแน่น
14.9 /กม.²
38.6 /ไมล์²
ก่อนหน้านี้ ต่อจากนี้

สาธารณรัฐโรมัน

จักรวรรดิไบแซนไทน์


จักรวรรดิโรมันตะวันตก





จักรวรรดิโรมันในช่วงเวลาต่างๆกัน
จักรวรรดิโรมัน (ภาษาอังกฤษ: Roman Empire) เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของอารยธรรมโรมันโบราณซึ่งปกครองโดยรูปแบบอัตตาธิปไตย จักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตาล) ซึ่งได้อ่อนแอลงหลังจากความขัดแย้งระหว่างไกอุส มาริอุสและซุลลา และสงครามกลางเมืองระหว่างจูเลียส ซีซาร์และปอมปีย์[1] มีวันหลายวันที่ได้ถูกเสนอให้เป็นเส้นแบ่งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิ ได้แก่
• วันที่จูเลียส ซีซาร์ประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการ (44 ปีก่อนคริสตกาล)
• ชัยชนะของออคเตเวียนในยุทธการแอคทิอุม (2 กันยายน, 31 ปีก่อนคริสตกาล)
• วันที่สภาซีเนตประกาศยกย่องออคเตเวียนให้เป็นออกุสตุส (16 มกราคม, 27 ปีก่อนคริสตกาล)
จักรวรรดิโรมันเคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษและเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียงของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลีแวนท์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้ จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี ทางภาคใต้จักรวรรดิโรมันได้รวบรวมตะวันออกกลางไว้ ซี่งในปัจจุบันก็ได้แก่ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล จอร์แดน จากนั้นในภาคตะวันตกเฉียงใต้ จักรวรรดิได้รวบรวมอียิปต์โบราณไว้ทั้งหมด และได้ทำการยึดครองต่อไปทางตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณชายฝั่งทะเลซี่งในปัจจุบันคือประเทศลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก จนถึงตะวันตกของยิบรอลตาร์ ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันเรียกว่าชาวโรมัน และดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายโรมัน การขยายอำนาจของโรมันได้เริ่มมานานตั้งแต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจัน ด้วยชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ.106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียน) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครองแผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตร.กม. (2,300,000 ตร.ไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum "ทะเลของเรา" อิทธิพลของโรมันได้ส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สภาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและระบบการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้
จักรวรรดิถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงเวลาประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมิวลุส ออกุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม (ดูในการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก็ได้รักษากฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบกรีก-โรมัน รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ไว้ได้ในอีกสหัสวรรษต่อมา จนถึงการล่มสลายเมื่อเสียกรุงคอนแสตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453
เนื้อหา
[ซ่อน]
• 1 พัฒนาการของจักรวรรดิโรมัน
• 2 จักรพรรดิพระองค์แรก
• 3 จากสาธารณรัฐสู่สมัยผู้นำ: ออกุสตุส
• 4 อ้างอิง

[แก้] พัฒนาการของจักรวรรดิโรมัน
นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งแบกช่วงการปกครองของจักรวรรดิโรมันเป็นสมัยผู้นำ (Principate) ซึ่งเริ่มตั้งแต่จักรพรรดิออกุสตุสจนถึงวิกฤติการณ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 และสมัยครอบงำ (dominate) ซึ่งเริ่มตั้งแต่จักรพรรดิไดโอคลีเชียนจนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งในสมัยผู้นำ จักรพรรดิจะมีอำนาจอยู่เบื้องหลังการปกครองแบบสาธารณรัฐ แต่ในสมัยครอบงำ อำนาจของจักรพรรดิได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ ด้วยมงกุฎทองและพิธีกรรมที่หรูหรา และเมื่อเร็วๆ นี้ นักประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ว่ารูปแบบการปกครองนี้ได้ใช้ต่อจนถึงช่วงเวลาของจักรวรรดิไบแซนไทน์
[แก้] จักรพรรดิพระองค์แรก
ไม่มีคำตอบแน่ชัดว่าใครเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของโรม อันที่จริงแล้วไม่มีตำแหน่งจักรพรรดิในระบบการเมืองของโรมัน มันเหมือนกับเป็นตำแหน่งที่แยกออกมามากกว่า
จูเลียส ซีซาร์ได้ประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการตลอดอายุขัย ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ผู้เผด็จการจะต้องไม่อยู่ในตำแหน่งเกิน 6 เดือน ตำแหน่งของซีซาร์จึงขัดกับกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เหล่าสมาชิกสภาซีเนตบางคนเกิดความหวาดระแวงว่าเขาจะตั้งตนเป็นกษัตริย์และสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้นจึงเกิดการวางแผนลอบสังหารขึ้น และในวันที่ 15 มีนาคม 44 ปีก่อนคริสตกาล จูเลียส ซีซาร์เสียชีวิตลงโดยฝีมือของพวกนักลอบสังหาร
ออคเตเวียน บุตรบุญธรรมและทายาททางการเมืองของจูเลียส ซีซาร์ ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และไม่อ้างสิทธิในตำแหน่งผู้เผด็จการ แต่ได้ขยายอำนาจภายใต้รูปแบบสาธารณรัฐอย่างระมัดระวัง โดยเป็นการตั้งใจที่จะสนับสนุนภาพลวงแห่งการฟื้นฟูของสาธารณรัฐ เขาได้รับตำแหน่งทางการเมืองหลายตำแหน่ง เช่น ออกุสตุส ซึ่งแปลว่า "ผู้สูงส่ง" และพรินเซปส์ ซึ่งแปลว่า"พลเมืองชั้นหนึ่งแห่งสาธารณรัฐโรมัน" หรือ "ผู้นำสูงสุดของสภาซีเนตโรมัน" ตำแหน่งนี้เป็นรางวัลสำหรับบุคคลผู้ทำงานรับใช้รัฐอย่างหนัก แม่ทัพปอมปีย์เคยได้รับตำแหน่งนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ ออกุสตุสยังได้สิทธิในการสวมมงกุฎพลเมือง ที่ทำจากไม้ลอเรลและไม้โอ๊คอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งตำแหน่งต่างๆ และมงกุฎก็ไม่ได้มอบอำนาจพิเศษใดๆ ให้เขา เขาเป็นเพียงกงสุลเท่านั้น และใน 13 ปีก่อนคริสตกาล ออกุสตุสได้เป็น พอนติเฟกซ์ แมกซิมุส ภายหลังการเสียชีวิตของมาร์คุส อีมิลิอุส เลพิดุส ออกุสตุสสะสมพลังอำนาจไว้มากโดยที่ไม่ได้อ้างสิทธิในตำแหน่งต่างๆ มากเกินไป
[แก้] จากสาธารณรัฐสู่สมัยผู้นำ: ออกุสตุส
มาร์ค แอนโทนีและคลีโอพัตรา พ่ายแพ้ในยุทธการแอคทิอุมและได้กระทำอัตวินิบาตฆาตกรรมทั้งคู่ ออคเตเวียนได้สำเร็จโทษซีซาเรียน ลูกชายของคลีโอพัตราและจูเลียส ซีซารด้วย การสังหารซีซาเรียนทำให้ออคเตเวียนไม่มีคู่แข่งทางการเมืองที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับจูเลียส ซีซาร์แล้ว เขาจึงกลายเป็นผู้ปกครองคนเดียวของโรม ออคเตเวียนเริ่มการปฏิรูปทางทหาร เศรษฐกิจและการเมืองครั้งใหญ่ โดยมีเจตนาเพื่อทำให้อาณาจักรโรมันมั่นคงและสงบสุข และยังทำให้เกิดการยอมรับในรูปแบบการปกครองใหม่นี้ด้วย
ในช่วงเวลาที่ออคเตเวียนปกครองโรมัน สภาซีเนตได้มอบชื่อออกุสตุสให้เขา พร้อมกับตำแหน่ง อิมเพอเรเตอร์ "จอมทัพ"ด้วย ซึ่งได้พัฒนาเป็น เอ็มเพอเรอร์' "จักรพรรดิ" ในภายหลัง
ออกุสตุสมักจะถูกเรียกว่า ซีซาร์ ซึ่งเป็นนามสกุลของเขา คำว่าซีซาร์นี้ถูกใช้เรียกจักรพรรดิในราชวงศ์จูลิโอ-คลอเดียน ราชวงศ์ฟลาเวียน จักรพรรดิเวสปาเซียน จักรพรรดิทิทุส และจักรพรรโดมิเชียนด้วย และยังเป็นรากศัพท์ของคำว่า ซาร์ (รัสเซีย:czar) และ ไกเซอร์ (เยอรมัน:kaiser)

15.เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น

นิยาม GDP, GNP และรายได้ประชาชาติ
ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP)
หมายถึง มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นภายในประเทศในระยะเวลาหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงว่าทรัพยากรที่ใช้
ในการผลิตสินค้า และบริการจะเป็นทรัพยากรของพลเมืองในประเทศหรือเป็นของชาวต่างประเทศ ในทางตรงข้าม
ทรัพยากรของพลเมืองในประเทศแต่ไปทำ การผลิตในต่างประเทศก็ไม่นับรวมไว้ในผลิตภัณฑ์ในประเทศ
ผลิตภัณฑ์ในประเทศมีการจัดทำทั้งตามราคาปัจจุบันและราคาคงที่โดย GDP ณ ราคาปัจจุบัน คิดมูลค่าผลผลิตเป็นเงิน
ตามราคาตลาดของสินค้าและบริการเหล่านั้น ขณะที่ GDP ณ ราคาคงที่คิดมูลค่าผลผลิตเป็นเงินตามราคาปีที่กำหนดเป็น
ปีฐาน
ผลิตภัณฑ์ประชาชาติ (Gross National Product : GNP)
คือมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดที่ผลิตขึ้นในระยะเวลาหนึ่ง โดยใช้ทรัพยากรที่คนประเทศนั้น ๆ เป็น
เจ้าของ
รายได้ประชาชาติ (National Income : NI)
คือผลตอบแทนจากปัจจัยการผลิต ซึ่งได้แก่ค่าตอบแทนแรงงาน ผลตอบแทนจากที่ดิน ทุน และการประกอบการโดยมี
ความสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ประชาชาติดังนี้
NI = GNP - ค่าเสื่อมราคา - (ภาษีทางอ้อม - เงินอุดหนุน)
รายได้ต่อหัว (Per capita GNP)
คำนวณจากผลิตภัณฑ์ประชาชาติหารด้วยจำนวนประชากรทั้งประเทศ
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
เข้าใจการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (จริงๆ)
คอลัมน์ ระดมสมอง โดย เพสซิมิสต์ ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3709 (2909)
ในช่วงหลังนี้เราเป็นห่วงสภาวะเศรษฐกิจกันมาก และประเด็นที่เป็นห่วงกันมากที่สุด คือ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทุกวันและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งประเด็นหลังนี้ไม่ทราบว่า เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับดุลบัญชีเดินสะพัดกันมากน้อยเพียงใด แต่ดูเสมือนจะมีข้อสรุปว่า เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ดังนั้น หากจะต้องขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็ขอให้ขาดดุลไม่เกินกว่า 2% ของจีดีพี
แต่มีใครถามหรือไม่ว่า ทำไมจะต้องขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่เกิน 2% ของจีดีพี หากขาดดุล 3% หรือ 4% ของจีดีพีแล้ว สิ่งไม่ดีอะไรจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ? หรือในอีกด้านหนึ่ง หากเราเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 1-2% ของจีดีพี แล้วสิ่งที่ดีอะไรจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย
การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด คือ การใช้จ่ายมากกว่ารายได้ของประเทศในกรณีของสหรัฐ ซึ่งขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากถึง 6% ของจีดีพีนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะมีการขาดดุลในระดับสูง กล่าวคือ เป็นการสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้นปีละ 6% ของจีดีพี เพียงเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัว 3-4% ก็เท่ากับว่า หนี้สินต่อจีดีพีจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อปริมาณหนี้สินเริ่มเพิ่มขึ้นภาระก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ทั้งภาระของเงินต้นและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐต้องชะงักงันในที่สุด ที่สำคัญคือ หนี้สินที่สหรัฐก่อขึ้นมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้เพื่อการบริโภคทั้งสิ้น การลงทุนเพิ่มขึ้นไม่มาก ดังนั้น จึงพอจะประเมินได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่มีศักยภาพที่จะผลิตสินค้าและบริการในอนาคต ในปริมาณที่เพียงพอต่อการใช้คืนหนี้สินที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกปีในขณะนี้
ดังนั้น การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจึงจะสามารถมองได้ว่า เป็นการกู้ยืมเงินออมจากต่างประเทศ มาทดแทนการออมที่ขาดแคลนในประเทศ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงต้องตั้งคำถามต่อไปว่า ทำไมประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจึงมีเงินออมในประเทศไม่เพียงพอ คำตอบนั้นมีได้ 2 แนวทาง คือ เงินออมขาดแคลน เพราะเป็นประเทศที่มีการออมน้อย เพราะประชาชนนิยมชมชอบการบริโภค ซึ่งในกรณีนี้ถือได้ว่า เป็นเรื่องอันตราย เพราะในระยะยาวนั้น เศรษฐกิจจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องก็ต่อเมื่อประชาชนมีการออมที่เพียงพอต่อการลงทุน เพื่อการขยายกำลังการผลิตในอนาคต อันเป็นปัจจัยหลักของการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่งคั่งในระยะยาว
แต่ในกรณีของประเทศไทย หรือประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศนั้น การออมมีอยู่ค่อนข้างมาก ในกรณีของไทยนั้น การออมสูงถึง 30% ของจีดีพี ดังนั้น หากเรายังมีเงินออมไม่พอ และจะต้องนำเข้าเงินออมจากต่างประเทศ ก็มีความเป็นไปได้ว่า ประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย มีลู่ทางและโอกาสในการลงทุนสูงมาก ทำให้ต้องอาศัยเงินออมจากแหล่งอื่นๆ นอกประเทศมาเพิ่มเติม ซึ่งในกรณีดังกล่าวก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เพราะการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์ ในการเพิ่มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือ การประเมินให้ชัดเจนว่า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการนำเอาเงินออมจากต่างประเทศมาใช้นั้น เงินดังกล่าวถูกนำไปใช้ในลักษณะใด หากนำไปเพิ่มการบริโภค ซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนในอนาคต ก็จะเป็นสิ่งที่อันตรายต่อเศรษฐกิจ เพราะประเทศจะไม่ได้สร้างผลผลิตในอนาคต เพื่อนำไปใช้คืนหนี้สินที่กำลังสร้างขึ้นมาในปัจจุบัน กล่าวคือ เป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องอธิบายให้ประชาชนทราบว่า หากประเทศไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องในอนาคตแล้ว การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (หรือการนำเข้าเงินออม) ดังกล่าวนั้น จะช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด หากทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นแล้ว ก็จะคุ้มค่ากับการสร้างหนี้ และภาระที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เมื่อคำนวณประโยชน์จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น ไม่ใช่ การประเมินเพียงว่า การลงทุนดังกล่าวมีผลในระยะสั้น (ระหว่างการลงทุน) ในเชิงของการเพิ่มการจ้างงาน รายได้ การขยายสินเชื่อ ฯลฯ ในระหว่างการลงทุนมากน้อยเพียงใด แต่จะต้องพิจารณาว่า เมื่อการลงทุนดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว จะนำมาซึ่งผลตอบแทนในระยะยาว 20-30 ปี ข้างหน้ามากน้อยเพียงใด เช่น หากประเทศไทยจะสร้างรถไฟฟ้า ก็จะต้องพิจารณาว่า รถไฟฟ้าดังกล่าว ซึ่งสมมติว่ามีอายุการใช้งาน 40 ปีนั้น จะให้ผลจากการลงทุนทั้งสิ้นมากน้อยเพียงใด
จะเห็นได้ว่า หากประเทศไทยสามารถแสวงหาโครงการต่างๆ หลายโครงการที่ให้ผลตอบแทนสูงแล้ว ประเทศไทยจะกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในโครงการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ก็ไม่เป็นไร จะทำให้จีดีพีขยายตัวเพิ่มขึ้นไปอีก 30-40 ปี และการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวนั้น สามารถนำมาใช้คืนเจ้าหนี้ได้แล้วจะยังเหลือเป็นผลประโยชน์ให้กับประชาชนได้อีกมาก
หมายความว่า หากรัฐบาลทำการบ้านรอบคอบ ก็น่าจะสามารถบอกประชาชนได้ด้วยซ้ำว่า หากลงทุนต่ำ ทำให้เกินดุลบัญชีเดินสะพัด 1% แล้ว ผลเสียที่จะตามมา คือจีดีพีจะขยายตัวในระดับต่ำ เช่น 3% แต่หากยอมให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (ยืมเงินออมจากต่างประเทศ) เท่ากับ 2% ของจีพีดีแล้ว การลงทุนที่เพิ่มขึ้น (สมมติว่า) จะทำให้จีดีพีขยายตัว 5% ทั้งนี้ หากยอมขาดดุลเท่ากับการขาดดุล 3% ของจีดีพีแล้ว จีดีพีจะขยายตัว 6% ต่อปีใน 30 ปีข้างหน้า ในขณะนี้หากผลักดันการลงทุนจนขาดดุล 5% ของจีดีพี แต่จีดีพีก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย คือ จะขยายตัว 6.2% ในช่วง 20-30 ปีข้างหน้า ก็น่าจะเชื่อได้ว่ารัฐบาลและประชาชนจะเห็นพ้องต้องกันว่า ควรให้จีดีพีขยายตัวที่ 6% ต่อปี และยอมขาดดุล 3% ต่อปีแทนการเกินดุล 1% เพราะจะทำให้จีดีพีขยายตัวต่ำไป ในทางตรงกันข้าม การผลักดันให้จีดีพีขยายตัว 6.2% นั้น ก็ไม่คุ้มค่า เพราะจะต้องยอมขาดดุลฯ มากถึง 5% ต่อปี ซึ่งเป็นการสร้างภาระที่เพิ่มขึ้นมาก ไม่คุ้มค่ากับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ต่อปี
ประเด็นหลักจึงไม่ใช่ว่า โครงการขนาดยักษ์ 1.7 ล้านล้านนั้น ควรจะต้องลงทุนทั้งหมด เช่น ที่รัฐบาลผลักดัน หรือควรจะลดการลงทุนเหลือครึ่งเดียว แต่จะต้องพิจารณาผลตอบแทนของโครงการต่างๆ ในระยะยาว เพื่อนำไปคำนวณในภาพรวมว่า ประเทศไทยจะขยายตัว (โดยการลงทุน) ได้มากน้อยเพียงใดจากโครงการดังกล่าว หากแสวงหาโครงการที่ให้ผลตอบแทนสูงหลายโครงการก็ควรลงทุนหลายโครงการ แม้ว่าจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากในปัจจุบัน เพราะจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่หากแสวงหาโครงการที่ให้ผลตอบแทนสูงไม่ได้ จะต้องตัดสินใจยกเลิกการลงทุนเกือบทั้งหมดก็ได้ ที่สำคัญคือ เราจะต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วน จึงจะสามารถนำมาปรึกษาหารือกัน และแสวงหาคำตอบ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้
ที่กล่าวมาทั้งหมดในข้างต้นนี้ กล่าวเสมือนว่ารัฐบาลสามารถกำหนดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้ตามอำเภอใจ แต่ในเชิงทฤษฎี และความเป็นจริงนั้น อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย เพราะผู้ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการกำหนดทิศทางของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เราจะต้องกลับมาทำความเข้าใจว่าการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น เป็นการขาดดุลซึ่งมีเงินทุนไหลเข้ามาทดแทนการขาดดุลดังกล่าวหรือไม่ สมมติว่า ตามกลไกตลาดมีนักลงทุนจากต่างประเทศอยากนำเงินเข้ามาลงทุนเพียงพอ ก็จะทำให้ดุลชำระเงินของประเทศไม่ขาดดุล หากต่างชาตินำเงินเข้ามามากเกินการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะทำให้ดุลชำระเงินของไทยเกินดุล และ ธปท.มีทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น และมีสภาพคล่องในประเทศเพิ่มขึ้น อันจะช่วยให้ดอกเบี้ยในประเทศมีแนวโน้มลดลงอีกด้วย หมายความว่า หากประเทศไทยมีความน่าลงทุนอยู่ในตัว การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และไม่มีความขลุกขลักแต่อย่างใด
หาก ธปท.ปล่อยให้กลไกตลาดซื้อ-ขายเงินตราต่างประเทศทำงานโดยเสรี และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด มีเงินทุนไหลเข้ามามากเกินพอดังกล่าวข้างต้น ค่าเงินบาทก็จะไม่อ่อนตัวลงแต่จะแข็งค่าขึ้น และสภาพคล่องก็จะมีเพียงพอโดยที่ดอกเบี้ยไม่ต้องปรับเพิ่มขึ้น หรือมองอีกด้านหนึ่ง คือ หากประเทศไทยมีลู่ทางในการลงทุนที่สดใส และต่างชาติอยากเข้ามาลงทุน การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเลย และเราก็ไม่ต้องมาถกเถียงกันว่าจะหาเงินมาลงทุนในโปรเจ็กต์ยักษ์ต่างๆ โดยวิธีใด
ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังเป็นห่วงกันก็คือประเทศไทย (คือคนไทยหรือรัฐบาลไทย) กำลังอยากลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ หลายๆ โครงการ ซึ่งตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะไม่มีเงินทุนไหลเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อมาลงทุนโดยสมัครใจ ดังนั้น จึงต้องมีแนวทางเพื่อจัดการ สรรหาเงินทุนดังกล่าว วิธีหนึ่งคือ การที่รัฐบาลเองจะต้องออกไปกู้เงินจากต่างประเทศมาทดแทนการออมในประเทศที่มีไม่เพียงพอ และ/หรือความจำเป็นที่โครงการจะต้องนำเข้าสินค้าทุนมูลค่ามหาศาลจากต่างประเทศ ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องหันมาพิจารณาคือ รัฐบาลได้คำนวณเงินที่ต้องกู้ยืมจากต่างประเทศต่ำเกินไป (เพราะไม่ต้องการเพิ่มหนี้สาธารณะมาก) เงินก็จะขาดมือทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสร้างปัญหา เพราะไม่มีเงินทุนไหลเข้ามาเพียงพอกับความต้องการ
เมื่อมาถึงตรงนี้ เราก็จะมองเห็นถึงความสำคัญของ ธปท. ซึ่งเป็นเสมือนผู้กลั่นกรองขั้นสุดท้ายสำหรับโปรเจ็กต์ยักษ์ของรัฐบาล กล่าวคือ หากเงินตราต่างประเทศเริ่มขาดมือ เพราะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนที่จะไหลเข้ามา ธปท. จะสามารถช่วยให้การนำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบ ฯลฯ กระทำได้สะดวก หาก ธปท.จะยอมขายเงินตราต่างประเทศที่ถืออยู่เข้าไปในตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนเกินดังกล่าว แต่ผลก็คือ ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศจะต้องลดลง
เคยมีคนในรัฐบาลพูดเป็นทำนองว่า ธปท.มีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเกินพอแล้ว ดังนั้น การขายออกมาบ้าง เพื่อช่วยให้โปรเจ็กต์ยักษ์สามารถดำเนินการได้ ก็น่าจะเป็นการนำเอาทุนสำรองออกมาใช้อย่างคุ้มค่า
ในทางตรงกันข้าม หาก ธปท.ไม่ต้องการให้ความสนับสนุนการลงทุนในโปรเจ็กต์ดังกล่าว และเพิกเฉยไม่ทำอะไรในขณะที่เงินตราต่างประเทศมีไม่เพียงพอ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ค่าเงินบาทจะต้องอ่อนตัวลง เพื่อให้อุปสงค์และอุปทานปรับตัวเข้าหากัน ซึ่งในระยะสั้นนั้น การส่งออกคงจะเพิ่มขึ้นได้มาก ดังนั้น สิ่งที่จะต้องปรับตัวจึงน่าจะเป็นการนำเข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเข้าสินค้าทุน หมายความว่า เมื่อค่าเงินบาทอ่อนลง ต้นทุนการนำเข้าสินค้าทุนจากต่างประเทศก็จะสูงขึ้น ทำให้โปรเจ็กต์ที่ให้ผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนักต้องหยุดชะงักหรือต้องยกเลิกไป เพราะผลตอบแทนที่ได้เริ่มไม่คุ้มกับต้นทุน ดังนั้นหากรัฐบาลยังจะผลักดันการนำเข้าของตน ค่าเงินบาทที่อ่อนลงก็จะทำให้การลงทุนของภาคเอกชนบางรายต้องถูก "เบียด" ออกไป และยกเลิกการลงทุนและการนำเข้าของตนในที่สุด
หากจะพิจารณากันอย่างจริงจังแล้ว ก็ต้องสรุปว่า ผู้ที่สามารถกำหนดได้ว่าประเทศไทย จะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากน้อยเพียงใดนั้น คือ นักลงทุนต่างประเทศ (ว่าจะนำเงินทุนเข้ามาในประเทศไทยมากน้อยเพียงใด) และ ธปท.ว่าพร้อมจะลดปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นเสมือนแหล่งที่มาของเงินตราระหว่างประเทศ "ราคาถูก" ให้กับโปรเจ็กต์ของรัฐบาลครับ
เราจะบริหารเงินทุนสำรองของประเทศอย่างไรดี

ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์

Chodechai@fpo.go.th

ประเด็นที่ท้าทายเศรษฐกิจไทยที่สำคัญที่สุดประเด็นหนึ่ง นอกจากเรื่องค่าเงินบาทแล้ว ก็คือประเด็นที่เราจะจัดการอย่างไรกับเงิน ทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นทุกขณะจนมีจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว การมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับที่มากใน เวลาที่รวดเร็วก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศประกอบไปด้วยเงินตราต่างประเทศในสกุลที่มีแนว โน้มด้อยค่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวนมาก เพราะมูลค่าของทรัพย์สินที่ประเทศชาติถืออยู่ก็จะมีค่าลดลงเช่นกัน



สำรองเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการส่งออกที่มากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการมีเงินทุนต่าง ประเทศไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในรูปการลงทุนทางตรง โดยการเข้ามาตั้งกิจการ โรงงานและอุตสาหกรรมในเมืองไทย หรือร่วมลง ทุนทำธุรกิจกับบริษัทไทย และในรูปการลงทุนทางอ้อมโดยการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินรวมทั้งหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในกรณีของประเทศไทยในช่วงนี้เป็นแบบหลังเสียมากกว่า อีกทั้งเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท แบงค์ชาติจำเป็นต้องแทรกแซงโดย การขายเงินบาทและซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวนมาก ดังนั้น หากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ด้อยค่าเรื่อย ๆ และหากเราไม่สามารถบริหารจัดการ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้นเพื่อชดเชยกัน เราก็จะขาดทุนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ และบั่นทอนอำนาจซื้อของเงินทุน สำรองระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของประเทศที่สำคัญที่สุดที่เรามีอยู่ในระยะยาว

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ในระดับที่มีมากพอที่จะต้องพิจารณาว่า ทำอย่างไรถึงจะบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ การเก็บสำรองเงินตราต่างประเทศเหล่านี้ทั้งหมดไว้เฉย ๆ โดยการซื้อตราสารการเงินที่ไม่มีความเสี่ยง มีสภาพคล่องดี แต่ให้ผลตอบแทนต่ำ ไว้ทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่ควรทิ้งไว้กับอดีต ตัวชี้วัดระดับความพอเพียงของสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศไทยทุกตัวชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากเพียงพอ และมีส่วนเกินที่จะคิดนำเอาบางส่วนไปบริหารจัดการในเชิงรุก เพื่อหาผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว ข้ออ้างที่ว่าประเทศกำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทยจำเป็นต้องเก็บเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไว้นิ่ง ๆ เป็นสำรองสภาพคล่องจำนวนมาก เพื่อป้องกันปัญหาเงินทุนไหลออกจนเกิดวิกฤติ เช่นปี 2540 เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นในยามที่สำรองเงินตรา ระหว่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นในระดับที่เกินความจำเป็น

ประกอบกับกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลเข้า และค่าเงินบาทแข็งยังเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนและหลีกเลี่ยงยากไปอีกระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ 2-3 ปีข้างหน้า ความจำเป็นที่จะต้องระบายสำรองเงินตราต่างประเทศออกไปลงทุนให้เน้นผลตอบแทน มีมากกว่าการสะสมเก็บ ตุนไว้เฉย ๆ เพื่อเน้นภาพพจน์ความมั่นคง

การบริหารจัดการเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยในยามนี้ จึงควรเน้นการลงทุนในเชิงรุกมากขึ้นโดยมีการจัดสรรสัดส่วน เฉพาะเพื่อการลงทุนที่เน้นผลตอบแทนมากขึ้น โดยแบ่งเงินทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ส่วนที่เน้นสภาพคล่องและความปลอดภัยของการลง ทุนเป็นหลัก (Liquidity Tranch)

2. ส่วนที่เน้นการลงทุนทางเลือกและผลตอบแทนระยะยาว (Investment Tranch) ในส่วนแรกนั้น ควร เน้นการลงทุนแบบดั้งเดิมในตราสารการเงินและสินทรัพย์ต่างประเทศที่มีระยะสั้น ๆ และมีความมั่นคงสูงในเชิง Passive Management โดย เป็นการลงทุนที่ให้ใช้วิจารณญาณของผู้จัดการกองทุนได้เพียงเล็กน้อย ในส่วนที่สองเป็นการลงทุนในลักษณะ Active Management ในรูป แบบใหม่ ๆ เช่น กองทุนประเภทต่าง ๆ (Fund of Fund , Mutual fund , Hedge Fund) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์ ตราสารการเงินที่มีความมั่งคงพอสมควรและมีความเสี่ยงบ้างแต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม และการลงทุน โดยตรงในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity)โดยไม่เน้นผลตอบแทนในระยะสั้น แต่ต้องเห็นผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว หรือแม้ กระทั่งว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในต่างประเทศบริหารจัดการให้

ในต่างประเทศเริ่มมีแนวโน้มที่จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะที่มีอิสระขึ้นมาบริหารจัดการเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในลักษณะที่ สองที่กล่าวมาดังข้างต้น เช่น จีน สิงคโปร์ เกาหลี คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และนอร์เวย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเพิ่มขึ้นของเงิน ทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างรวดเร็ว

การพิจารณาว่าจะจัดสรรเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างไรระหว่างส่วนที่หนึ่งและส่วนที่สอง ก็ขึ้นอยู่กับว่าแบงค์ชาติจำเป็น ที่จะต้องมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเท่าใดในการดำเนินนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยคำนึงถึง ระดับที่ไม่เป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการและแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนต่อการบริหารสภาพคล่องของประเทศ หากแบงค์ชาติมีความ สามารถในการบริหารจัดการในส่วนนี้ได้ดี ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไว้ในส่วนนี้มาก และมีเงินทุนสำรอง ระหว่างประเทศเหลือที่จะเจียดไปอยู่ในส่วนที่สอง

โดยทั่วไปการกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างส่วนที่หนึ่งและส่วนที่สองต้องคำนึงถึงความเปิดของเศรษฐกิจไทย ความจำเป็น ในการใช้เงินตราต่างประเทศเพื่อการค้าและการลงทุนกับต่างประเทศ เช่น เพื่อการชำระเงินกู้ต่างประเทศและสินค้านำเข้า ตลอดจนความ ต้องการเงินตราต่างประเทศในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนของไทย และต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการเก็บสำรองเงินตราต่างประเทศไว้เฉย ๆ ในรูป เงินสด เมื่อกำหนดวงเงินที่เหมาะสมได้แล้ว ก็ให้ส่วนนี้อยู่ในการบริหารจัดการของแบงค์ชาติ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ส่วนที่เหลือ สามารถแยกไปให้บรรษัทที่จะจัดตั้งขึ้นมาทำหน้าที่บริหารจัดการเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะนำไปลงทุน โดยอยู่นอกระเบียบกฎเกณฑ์และวัตถุ ประสงค์ของการช่วยแบงค์ชาติในการดำเนินนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อให้ความอิสระคล่องตัวในการลงทุน เพิ่มโอกาสใน การได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว

และในขณะเดียวกันก็เป็นการกระจายความเสี่ยงโดยแยกไข่ไว้หลายตะกร้า กล่าวคือ หากในอนาคตเกิด เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด (ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเกิดน้อยมาก) เช่นเดียวกับเมื่อปี 2540 ที่เราสูญเสียเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมดจากการ แทรกแซงค่าเงินบาท เราก็ยังจะมีเงินสำรองระหว่างประเทศที่ลงทุนอยู่ในสินทรัพย์ในต่างประเทศอยู่ก้อนหนึ่งที่ยังปลอดภัย

*************
บริหารเงินทุนสำรอง "โมเดลเกาหลี" บทเรียนสำหรับประเทศไทย
กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 07 สิงหาคม พ.ศ. 2550
ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ ได้เขียน บทความชื่อ "การบริหารเงินทุนสำรองของเกาหลี บทเรียนสำหรับประเทศไทย" ถือว่าเป็นประโยชน์ ในภาวะที่ทางการของไทย โดยเฉพาะ ธปท.กำลังหาโมเดล สำหรับการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ เพื่อสร้างผลประโยชน์มากขึ้น
ประเด็นที่ท้าทายเศรษฐกิจไทยที่สำคัญที่สุดประเด็นหนึ่ง นอกจากเรื่องค่าเงินบาทแล้ว ก็คือ ประเด็นที่เราจะจัดการอย่างไรกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นทุกขณะจนมีจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว การมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับที่มากในเวลาที่รวดเร็วก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศประกอบไปด้วยเงินตราต่างประเทศในสกุลที่มีแนวโน้มด้อยค่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐ จำนวนมาก เพราะมูลค่าของทรัพย์สินที่ประเทศชาติถืออยู่ก็จะมีค่าลดลงเช่นกัน
จากการประชุมผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 16 ประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าความท้าทายที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง ที่ธนาคารของหลายๆ ประเทศในเอเชียกำลังเผชิญก็คือ จะบริหารจัดการอย่างไร กับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และในปริมาณที่มากมายอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ทำอย่างไรถึงจะใช้ประโยชน์จากสำรองเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ในการลดความผันผวนของค่าเงินที่ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะประเทศที่ใช้ระบบอัตรา แลกเปลี่ยนแบบลอยตัว
ตัวอย่างที่สำคัญคือ ประเทศจีนที่กำลังสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในอัตราที่รวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดปัญหาตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเกือบ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ทางการจีนต้องหาวิธีบริหารเงินเหล่านี้ในขณะที่มูลค่าของเงินกำลังลดลงตามดอลลาร์สหรัฐที่ด้อยค่าลง ในปีนี้จีนได้จัดตั้งบรรษัทบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศขึ้นมาทำหน้าที่บริหารจัดการเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ หนึ่งโดยแยกสำรองเงินตราต่างประเทศในวงเงิน 2-3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ออกมาให้บรรษัท นี้บริหารจัดการลงทุน การจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาทำหน้าที่นี้เป็นการเฉพาะ
นอกจากจะเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการทรัพย์สินของประเทศแล้ว ยังถือเป็นการปรับบทบาท ของธนาคารกลางจีน ในการดูแลเงินทุนสำรองระหว่างประเทศด้วย โดยคาดว่าจีนคงนำเงินตราต่างประเทศเหล่านี้ ไปลงทุนในสินทรัพย์รูปแบบใหม่ที่จีนไม่เคยลงทุนมาก่อน เช่น ธุรกิจและทรัพย์สินในอุตสาหกรรมพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ แร่ธาตุ ตลอดจนทรัพย์สินภายในประเทศเกิดใหม่และโตเร็ว โดยยอมรับความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีขึ้น เช่น โดยลงทุนในหลายประเทศในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา
ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติในระยะยาวแล้ว ยังเป็นการซื้อ "เพื่อน" ในกลุ่มประเทศที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชิงยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ และความมั่นคงได้ด้วย
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ประเทศในกลุ่มอาหรับแถบอ่าวเปอร์เซีย 6 ประเทศ (Gulf Cooperation Countries, GCC) ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจีนในด้านการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยปัจจุบันมีเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในสิ้นปีนี้ประเทศในกลุ่มนี้ซึ่งประกอบไปด้วย คูเวต ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ บาห์เรน และโอมาน จะมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (ซึ่งเป็นผลหลักๆ มาจากการส่งออกลบการนำเข้า) ถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในสิ้นทศวรรษนี้ ซึ่งมากกว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศในเอเชียรวมกัน
ประเทศอาหรับทั้ง 6 ประเทศใช้ระบบอัตราการแลกเปลี่ยนคงที่โดยยึดติด (FIX) กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเวลานานแล้ว และมีแผนที่จะรวมตัวกันเป็นสหภาพทางการเงิน (Monetary Union) และใช้เงินสกุลเดียวกันในปี 2010 เงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากรายได้ใน
การส่งออกน้ำมัน โดยที่ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีนี้ ทำให้รายรับเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ และทำให้การบริหารเงินทุนสำรองจำนวนมากนี้เป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดของประเทศเหล่านี้ โดยมีนโยบายที่จะลงทุนในเอเชียมากกว่าลงทุนในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะลงทุนในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเกิดใหม่เป็นจำนวนเงินถึง 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 5 ปีข้างหน้า
ในขณะเดียวกันก็จะเน้นลงทุนในเรื่องการศึกษาและการพัฒนาคนในกลุ่มประเทศ GCC ด้วยกัน
นอกจากนั้นหลายประเทศได้จัดตั้งบรรษัทเพื่อการลงทุนแห่งชาติเพื่อบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เช่น ประเทศนอร์เวย์จัดตั้ง Norges Bank Investment Management ประเทศคูเวตจัดตั้ง Kuwait Investment Authority ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จัดตั้ง Abudhabi Investment Authority ประเทศสิงคโปร์ จัดตั้ง Government Investment Corporation (GIC) ประเทศเกาหลีใต้ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
แผนการจัดตั้งบรรษัทบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเกาหลี
2546 พฤศจิกายน ประกาศนโยบายให้เกาหลี เป็นศูนย์กลางทางการเงิน ในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นวาระแห่งชาติ ในปการประชุมว่าด้วยวาระแห่งชาติ ซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นประธาน
2546 ธันวาคม ประกาศแผนการจัดตั้งบรรษัทเพื่อการลงทุนแห่งชาติ เพื่อบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ( Korea Investment Corporation : KIC )
2548 มีนาคม ร่างกฏหมายจัดตั้ง KIC เสร็จ และประกาศบังคับใช้
2548 กรกฎาคม แต่งตั้งกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ KIC คนแรก
2548 สิงหาคม แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล (Steering Committee)
2549 มิถุนายน เซ็นสัญญารับเอาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวน 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแบงก์ชาติเกาหลีมาบริหารจัดการ
2549 ตุลาคม เซ็นสัญญารับเอาสำรองเงินตราต่างประเทศ จำนวน 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการะทรวงการคลังและเศรษฐกิจ ของเกาหลีมาบริหารจัดการ
2549 พฤศจิกายน KIC เริ่มลงทุน เป็นครั้งแรก
เกาหลีใต้จัดตั้งบรรษัทเพื่อการลงทุนแห่งชาติ Korea Investment Corporation (KIC) ขึ้นมาในวันที่ 1 ก.ค. 48 โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000,000 ล้านวอน ชำระแล้ว 100,000 ล้านวอน จากกองทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Exchange Stabilization Fund) และมีวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการกองทุนเงินสำรองระหว่างประเทศของเกาหลี โดยระยะแรกได้รับมอบอำนาจให้บริหารสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทย 670,000 ล้านบาท)
แผนการจัดตั้ง KIC เกิดขึ้นเมื่อเดือนธ.ค.46 แผนการดังกล่าวถูกต่อต้านจากธนาคารกลางของเกาหลีใต้ เนื่องจากความกังวลที่ว่า จะเป็นการแทรกแซงนโยบายการเงิน และการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลาง และความเป็นอิสระของธนาคารกลางโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเกาหลีใต้ก็ประสบความสำเร็จในการจูงใจธนาคารกลาง ถึงประโยชน์ที่จะได้รับต่อประเทศชาติ และได้ทำสัญญาให้ธนาคารกลาง
เกาหลีมีสิทธิที่จะเรียกทรัพย์สิน (สำรองเงินตราต่างประเทศ) ที่ให้ KIC ไปบริหาร กลับคืนมาในกรณีฉุกเฉิน รูปแบบของ kic คล้ายๆ กับ GIC ของสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันมีขนาดกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย KIC ยังสามารถบริหารจัดการเงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซงการบริหารจัดการเงินลงทุน ตลอดจนลดการกำกับดูแลจากทางการให้น้อยที่สุด โดยนำเอาผู้เชี่ยวชาญในการลงทุนต่างประเทศจากภาคเอกชนเข้ามาบริหาร
รูปแบบโครงสร้างการบริหารงานของ kic นั้น kic เป็นบริษัทบริหารจัดการลงทุนที่รัฐบาลถือหุ้น 100% โดยเน้นการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก และมีเป้าหมายลงทุนในเชิงพาณิชย์ โดยมีคณะกรรมการกำกับดูแล Steering Committee คอยกำหนดนโยบายพื้นฐานและทิศทางโดยรวม อีกทั้งประเมินผลการทำงานของ KIC ด้วย และ KIC ต้องรายงานผลการดำเนินงานต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย
ตามกฎหมาย KIC จะต้องนำเอาสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร เช่น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ไปลงทุนในต่างประเทศรูปเงินสกุลต่างประเทศ ยกเว้นเฉพาะในกรณีจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็สามารถลงทุนชั่วคราว ในสกุลเงินท้องถิ่นของเกาหลี (เงินวอน) ก็ได้
ในปีแรกภายหลังการก่อตั้ง KIC ใช้เวลาไปกับการสรรหาบุคลากรที่เชี่ยวชาญการลงทุน ตลอดจนการวางแผนกระบวนการลงทุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการลงทุนต่างๆ อาทิเช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อมูลด้านการลงทุนต่างประเทศ ดังนั้น การลงทุนในช่วงเริ่มแรกที่ยังไม่พร้อม KIC จึงใช้การว่าจ้างผู้ลงทุนภายนอกให้ช่วยบริหารจัดการลงทุนบางส่วน เป้าหมายของ KIC คือ ช่วยประเทศลดความผันผวนของมูลค่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการกระจายความเสี่ยงของการลงทุน การรักษามูลค่าและเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินเงินสำรองระหว่างประเทศของชาติ เพื่อลูกหลานในอนาคตซึ่ง KIC จะลงทุนโดยมองผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งหมายความว่า จะยอมรับความเสี่ยงในระยะสั้นได้เพิ่มขึ้น และสามารถกระจายความเสี่ยงของการลงทุน ให้ครอบคลุมถึงสินทรัพย์ที่ดี แต่อาจมีสภาพคล่องน้อย แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว ซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจ และตลาดการเงินของประเทศเกิดใหม่โตเร็ว เช่น BRICM (ได้แก่ Brazil , Russia India , China และ Mexico) ซึ่งคาดว่าในปี 2040 จะมีขนาดเศรษฐกิจวัดโดย GDP ใหญ่กว่าประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรม g7 ทั้งหมด
โดยทั่วไป บรรษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ของประเทศ เช่น KIC จะเลือกลงทุนเพื่อที่จะพยายามกระจาย แหล่งที่จะสร้างความมั่งคั่ง ในรูปรายได้ และผลตอบแทนให้กับประเทศชาติในระยะยาว โดยเป็นเจ้าของในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ นอกจากนั้น ประโยชน์ของการมีองค์กร เช่น KIC ก็จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการบริหารจัดการสินทรัพย์ของประเทศ (Asset Management Industry) ซึ่งจะช่วยพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมทางการเงินภายในประเทศ ตลอดจนสร้างคนและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการบริหารสินทรัพย์จากต่างประเทศ
(บทความนี้เป็นความเห็นทางวิชาการ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กรที่ผู้เขียนสังกัดอยู่)

ประเด็นชี้แจงของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยของ TDRI

กระทรวงการคลัง -- อังคารที่ 12 กรกฎาคม 2005 11:11:36 น.
ตามที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า รัฐบาลควรจะมีการปรับนโยบายการบริหารประเทศเพื่อมุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะต้องดำเนินการสองด้าน คือ ต้องหยุดการชดเชยราคาน้ำมันลงตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป รวมทั้งจะต้องยกเลิกส่วนลดจากภาษีสรรพสามิตด้วย และจะต้องรื้อแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ทั้งหมด โดยลดยอดการลงทุนลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของยอดการลงทุนที่วางไว้ 1.7 ล้านล้านบาท ให้เหลือประมาณ 8.5 แสนล้านบาทแทน โดยเตือนว่ารัฐบาลต้องยอมรับความจริง หากไม่ดำเนินการจะกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรงมากกว่าปัจจุบัน กระทรวงการคลังขอเรียนชี้แจงดังนี้

นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ชี้แจงว่า การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลให้ความสำคัญกับเป้าหมายทั้ง 2 ประการ คือ การเจริญเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คือทำอย่างไรให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่อเนื่อง เสถียรภาพทั้งภายในและภายนอกอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศมีการบริหารจัดการด้านอุปทาน ซึ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มในปัจจัยการผลิตและกระบวนการผลิต ตลอดจนการระดมเงินออมให้พอเพียงในระยะยาว ซึ่งจะทำให้เราสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ทำให้แรงกดดันต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดบรรเทาลง และทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นปัจจัยทั้ง 3 ข้างต้น จะทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจได้ทั้งการเจริญเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และยิ่งไปกว่านั้นเราจะไม่ละเลยเป้าหมายทางเศรษฐกิจอีก 2 ประการ ได้แก่ การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม
กระทรวงการคลังมีความห่วงใยเรื่องดุลบัญชีเดินสะพัดมาตั้งแต่ต้นปี ด้วยตระหนักดีว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องบวกกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้เราต้องเร่งดำเนินนโยบายเพื่อต่อสู้กับปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องทุกเดือน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมส่งเสริมการส่งออก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายบริหารการนำเข้า สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงพลังงาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยมีการนำเสนอมาตรการเร่งรัดและสนับสนุนการส่งออกและการท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันก็มีการพิจารณาการบริหารการนำเข้าสินค้าบางรายมิให้มากเกินความจำเป็น ทั้งนี้ ผลได้เบื้องต้นจากการใช้นโยบายบริหารจัดการการส่งออก ท่องเที่ยว และนำเข้า คิดเป็นเงินประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสามารถบรรเทาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้ ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถร่วมกันผลักดันนโยบายที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาแรงกดดันต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีต่อๆ ไปได้
นอกจากนี้ นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนในโครงการสาธาณูปโภคขนาดใหญ่ (Mega Projects) มูลค่า 1.7 ล้านล้านบาท ในช่วงปี 2548-2552 นั้น ไม่ใช่เป็นการลงทุนภายใน 1 ปี แต่จะเป็นการลงทุนกระจายตามความเหมาะสมในช่วงปี 2548-2552 และเราได้คำนึงถึงกรอบความยั่งยืนทางการคลังและกรอบการบริหารเศรษฐกิจมหภาคด้วยแล้ว โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์ให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้ ไม่เกินร้อยละ 2 ของ GDP กระทรวงการคลังเห็นว่าการลดการลงทุนใน Mega Projects ลงร้อยละ 50 หรือลดลง 8.5 แสนล้านบาท จะยิ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากในระยะต่อจากนี้ไปการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อยกระดับศักยภาพความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับความต้องการอันเนื่องมาจากความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการลงทุนนั้น ต้องคำนึงถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยจึงต้องมีนโยบายบริหารจัดการการส่งออก ท่องเที่ยว และนำเข้า ซึ่งกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดูแลอยู่
ที่ผ่านมารัฐบาลดำเนินนโยบายโดยอิงพื้นฐานทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์และความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ มิได้เน้นการตลาดดังที่บางฝ่ายกล่าว ในเชิงทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ดูได้จากแนวคิดการลงทุนขนานใหญ่ของประเทศ มาจากทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว ที่กล่าวว่า ปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจพัฒนาได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวและเป็นการขจัดข้อจำกัดด้านอุปทานนั้น ได้แก่ การลงทุน การพัฒนาปัจจัยการผลิตและกระบวนการผลิต และการระดมเงินออมภายในประเทศ จึงนำไปสู่การบริหารจัดการด้านอุปทาน (Supply Management) ดังนั้น การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลจึงมุ่งใช้นโยบายระยะยาวทางด้านการผลิต การจ้างงาน เพื่อปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและบริการ (Value Creation) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยเป็นหลัก ซึ่งบางฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแนวทางการตลาด แท้ที่จริงมาจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ในเชิงความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ ในอดีตที่ผ่านมาเรามีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่มาก รัฐบาลจึงเน้นการ
ดำเนินนโยบายด้านอุปสงค์ (Demand Management) แต่ในปัจจุบันกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่ไม่มาก ซึ่งดูได้จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงกว่าร้อยละ 70 รัฐบาลจึงต้องหันมาเน้นการดำเนินนโยบายด้านอุปทานเป็นหลัก ซึ่งต้องเน้นการลงทุน การพัฒนาปัจจัยการผลิตและกระบวนการผลิต และการระดมเงินออมภายในประเทศ ดังที่ได้กล่าวข้างต้น ดังนั้น การดำเนินนโยบายทั้งหมดเป็นการยึดอยู่กับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ มิได้เป็นแนวทางการตลาดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การประมาณการเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง มีสมมติฐานหลักด้านราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 53 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ใกล้เคียงระดับปัจจุบัน และให้อยู่ในระดับดังกล่าวจนถึงสิ้นปี (สูงกว่าที่ TDRI ตั้งไว้) มูลค่าการส่งออกขยายตัวร้อยละ 15 ต่อปี ใกล้เคียงระดับปัจจุบัน ประกอบกับการสอบถามผู้ประกอบการส่งออกพบว่าครึ่งหลังของปีจะดีกว่าครึ่งแรก โดยเฉพาะอุตสาหกรรม Hard Disk Drive และรถยนต์ ดังนั้น มูลค่าการส่งออกน่าจะขยายตัวมากกว่าที่ TDRI ตั้งไว้ ที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างการประมาณการและการดำเนินนโยบายที่อิงกับความเป็นจริง
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 50/2548 8 กรกฎาคม 48--
หัวข้อข่าวที่เกี่ยวข้อง
GDP, TDRI, project, กรมส่งเสริมการส่งออก, กรอบ, กระทรวงการคลัง, กระทรวงพลังงาน, กระบวนการผลิต, การตลาด, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การนำเข้า, การนำเสนอ, การพัฒนาเศรษฐกิจ, การลงทุน, ข่าว, จำกัด, ดอลลาร์สหรัฐ, ดุลบัญชีเดินสะพัด, ดูไบ, ต่อสู้, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธุรกิจ, น้ำมันดิบ, ประชาสัมพันธ์, พอเพียง, ภาษี, มาตรการ, รถยนต์, รถร่วม, รถแข่ง, รัก, รัฐบาล, ราคาน้ำมัน, รายได้, ละเลย, ว่าน, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, สินค้า, เศรษฐกิจไทย, เศรษฐศาสตร์, โครงการ
ข่าวเศรษฐกิจ อังคารที่ 12 ก.ค. 2005
งบประมาณแผ่นดิน
รัฐบาลมีหน้าที่ในการบริหารประเทศ ซึ่งย่อมอาศัยทรัพยากรด้านต่าง ๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ การงบประมาณแผ่นดินเป็นวิธีการหนึ่งของรัฐบาลในการแสดงถึงวิธีการจัดหารายได้และแนวทางการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล แสดงออกมาในรูปของตัวเงิน เพื่อขอความเห็นชอบ ( อนุมัติ ) จากรัฐสภาความหมายของงบประมาณแผ่นดิน คือ แผนที่แสดงออกมาในรูปของตัวเงิน สำหรับชั่วระยะเวลาหนึ่งอันแน่นอนถึงโครงการดำเนินงานของรัฐบาล และวิธีการที่จะหาเงินมาใช้จ่ายตามโครงการนั้น
งบประมาณของรัฐบาลหรืองบประมาณแผ่นดิน

จึงหมายถึง แผนการเงินของรัฐบาลซึ่งแสดงวัตถุประสงค์ จำนวนเงินและกิจกรรมของรายจ่าย จำนวนและแหล่งที่มาของรายรับในระยะเวลาหนึ่งปี ถึงแม้งบประมาณของรัฐบาลจะแสดงให้เห็นทั้งด้านรายจ่ายและรายรับ แต่จะเน้นความสำคัญของด้านรายจ่าย เพราะเป็นยอดวงเงินที่ฝ่ายนิติบัญญัติอนุมัติให้ฝ่ายบริหารใช้จ่ายเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ ส่วนด้านรายรับนั้นเป็นเพียงตัวเลขประมาณการของรายได้และรายรับจากแหล่งต่าง ๆ ที่จะนำมาสนับสนุนรายจ่ายเท่านั้น
ประเภทของงบประมาณ
• รายจ่ายผูกพันตามสัญญา
หมายถึง จำนวนรายจ่ายตามสัญญาจัดซื้อหรือจัดจ้างที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำสัญญาแล้วและจะต้องจ่ายตามข้อกำหนดในสัญญาในปีงบประมาณต่อไป
• รายจ่ายผูกพันตามมติคณะรัฐมนตรี
• ตามหลักการ หมายถึง รายจ่ายของกิจกรรมหรือรายการใดๆ ของงาน / โครงการที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้ดำเนินการในปีต่อไปได้โดยยังมิได้มีการทำสัญญาจัดซื้อหรือจัดจ้าง
• ตามมาตรา 23 หมายถึง รายจ่ายของรายการใด ๆ ซึ่งจะต้องก่อหนี้ผูกพันและวงเงินที่คาดว่าจะต้องก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายปี ต่อ ๆ ไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันแล้ว โดยยังมิได้มีการทำสัญญาจัดซื้อหรือจัดจ้าง
• รายจ่ายเพื่อรักษางานเดิม
หมายถึง รายจ่ายที่เสนอขอตั้งไว้เพื่อให้กิจกรรมของงานดำเนินการต่อไปตามปกติ โดยไม่มีการปรับปรุงหรือเพิ่มเป้าหมายของงาน และไม่มีรายจ่ายลงทุน
• รายจ่ายเพื่อปรับปรุงงานเดิม
หมายถึง รายจ่ายที่ใช้ในการปรับปรุงงานเดิมตามปกติ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ของงานยิ่งขึ้น โดยเป้าหมายหรือปริมาณงานยังคงเดิม และการปฏิบัติงานจะมีคุณภาพหรือมีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
• รายจ่ายเพื่อกิจกรรมใหม่
หมายถึง รายจ่ายที่ใช้เพื่อการดำเนินงานกิจกรรมใหม่ (New action) ของงาน / โครงการเดิม และหมายรวมถึงรายจ่ายที่ใช้เพื่อเพิ่มเป้าหมายขึ้นจากเดิมด้วย
• รายจ่ายผูกพันตามโครงการต่อเนื่อง
หมายถึง รายจ่ายของโครงการเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแผนแม่บท (Master plan) ที่กำหนดไว้ต่อเนื่องเป็นปี ๆ ตามที่คาดว่าจำเป็นจะต้องใช้จ่าย
• งาน / โครงการใหม่
หมายถึง งาน / โครงการที่จะขอตั้งงบประมาณรายจ่าย และเริ่มดำเนินการในปีต่อไป ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี หรือได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ระบบ (System) ของงบประมาณแผ่นดินจะเป็นเช่นใด ย่อมขึ้นอยู่กับ “ บทบาท ” (Role) หรือ “ หน้าที่ ” (Function) ของงบประมาณแผ่นดินว่าต้องการเน้นในเรื่องใด ทั้งนี้เพราะระบบงบประมาณแต่ละระบบมีบทบาทหรือหน้าที่ไม่เหมือนกัน

ระบบงบประมาณแผ่นดินแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ (Line – Item Budget) เป็นระบบงบ ประมาณที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิม เป็นระบบที่มีความมุ่งหมายควบคุมการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลในแต่ละปี ให้ใช้จ่ายน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ขณะเดียวกันควบคุมมิให้เกิดความผิดพลาดหรือทุจริตในการใช้จ่ายเงิน ฉะนั้นระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ จึงต้องแสดงรายการใช้จ่ายเงินแต่ละรายการอย่างละเอียดจำแนกตามหน่วยงาน (Organization classification) ว่าแต่ละหน่วยงานได้รับงบประมาณจำนวนเท่าใด และงบประมาณของแต่ละหน่วยงานก็จะถูกจำแนกตามลักษณะของการใช้จ่ายคือแบ่งเป็นหมวดเช่น หมวดเงินเดือน หมวดค่าวัสดุ เป็นต้น และแต่ละหมวดรายจ่ายยังถูกแยกแยะเป็น รายการย่อย ๆ อีกเช่น หมวดค่าวัสดุจะประกอบด้วย วัสดุเชื้อเพลิงและหล่อลื่น วัสดุสำนักงาน ฯลฯ เป็นต้น
งบประมาณแบบแสดงรายการมีบทบาทสำคัญในด้านการควบคุมงาน คือ เน้นการใช้จ่ายเงินซื้อสิ่งของหรือบริการเพื่อการดำเนินงานมากกว่าจะเน้นถึงผลการดำเนินงาน ( ผลจากการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ) ว่าบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการดำเนินงานเพียงใด นั่นคือ ระบบงบประมาณแสดงรายการทำให้ผู้บริหารสามารถควบคุมการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามรายการต่าง ๆ ที่แสดงไว้ในเอกสารงบประมาณอย่างเข้มงวด

TOP


ระบบงบประมาณแบบแผนงาน (Program Budget) เป็นระบบงบประมาณ ที่พัฒนาขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเป็นเครื่องวัดประสิทธิภาพในการดำเนินงานของรัฐบาล โดยเน้นให้มีการกำหนดวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินอย่างชัดเจน ทำให้สามารถเปรียบเทียบประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินงานกับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ว่าคุ้มกันหรือไม่และเมื่อสิ้นสุดการใช้จ่ายเงินงบประมาณนั้น ๆ แล้ว ผู้บริหารสามารถประเมินผลการดำเนินงานว่าบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด
งบประมาณแบบแผนงาน จะแสดงรายการใช้จ่ายเงินจำแนกตามแผนงานหรือโครงการว่าแต่ละแผนงาน หรือโครงการได้รับงบประมาณจำนวนเท่าใด ( ไม่จำแนกตามหน่วยงานแบบงบประมาณแบบแสดงรายการ ) และงบประมาณของแต่ละแผนงาน งานหรือโครงการก็จะถูกจำแนกตามลักษณะของการใช้จ่าย คือ แบ่งเป็นหมวดต่อไปซึ่งวิธีนี้จะสามารถเชื่อมโยงกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีลักษณะเดียวกันให้สัมพันธ์กันได้แม้จะต่างหน่วยงานกัน ทำให้สามารถลดปัญหาการปฏิบัติงานซ้ำซ้อนของหน่วยงานต่าง ๆ ได้
แผนงานที่กำหนดขึ้นนี้จำแนกออกเป็น 5 ระดับ ลดหลั่นลงไปตามลำดับ คือ
ด้าน (Sector)
สาขา (Sub-Sector)
แผนงาน (Program)
แผนงานรอง (Sub-Program)
งาน / โครงการ (Work Plan/Project)
ประเทศไทยได้นำระบบงบประมาณแบบแผนงานมาใช้ในการจัดทำงบประมาณแผ่นดินแทนระบบงบประมาณแบบแสดงรายการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2524
ซึ่งระบบงบประมาณแบบแผนงานก่อให้เกิดโครงสร้างแผนงานของหน่วยงาน โดยส่วนราชการทุกแห่งต้องพยายามจัดทำโครงสร้างแผนงานของหน่วยงานให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการตระเตรียมงบประมาณ ดังตัวอย่างโครงสร้างแผนงาน / โครงการของกระทรวง
สาธารณสุข ในแผนพัฒนาการสาธารณสุขในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ( พ . ศ . 2540 - 2544)

ระบบงบประมาณแบบผลงาน (Performance Base Budgeting System ; PBBS)

เป็นงบประมาณที่แสดงให้เห็นว่าจะทำกิจกรรมอะไร ใช้งบประมาณเท่าใด และได้ผลตอบแทนมีมูลค่าเท่าใด คำนึงถึงประสิทธิภาพและความประหยัด การอนุมัติงบประมาณจะต้องเปรียบเทียบว่ากิจกรรมใดให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากน้อยกว่ากัน การบริหารงบประมาณจะเน้นการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของกิจกรรม โดยใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด การประเมินผลก็ประเมินว่ากิจกรรมนั้นบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด งบประมาณแบบนี้มีข้อดีคือ จะลดความเคร่งครัดในการควบคุม และเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงานมากขึ้น เน้นความพยายามในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของกิจกรรมเป็นหลัก จึงเป็นหลักประกันได้ว่าจะทำงานบรรลุผลสำเร็จ แต่งบ ประมาณแบบนี้ก็มีข้อเสียคือ อาจมีการทุจริตได้เพราะไม่ได้ควบคุมรายการที่จะต้องซื้ออย่างเคร่งครัด และจะต้องใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์

ระบบงบประมาณฐานศูนย์ (Zero – Base Budgeting ; ZBB)
เป็นระบบ งบประมาณที่มีลักษณะบางอย่างคล้ายแบบแผนงาน บางส่วนคล้ายแบบแสดงผลงาน คือ มีการวางแผน ระยะสั้น เป็นแผนประจำปีและกำหนดกิจกรรมเป็นชุด เรียกว่า packages โดยให้หน่วยปฏิบัติงานระดับล่างสุดเสนอขึ้นมา โดยผ่านการพิจารณาของหน่วยงานระดับสูงขึ้นไปตามลำดับ งบประมาณแบบนี้มีข้อดีคือ มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากกว่า แต่ก็มีข้อเสียคือ อาจมีการทุจริตเนื่องจากไม่ได้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายในรายละเอียด

ประเภทของเงินราชการ
เงินที่โรงพยาบาลหมุนเวียนใช้จ่ายมาจาก 2 แหล่งใหญ่ ๆ คือ เงินงบประมาณ และเงินนอกงบประมาณ ( บางครั้งเรียกเงินบำรุง ) ซึ่งเงินราชการแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
• เงินงบประมาณรายจ่าย หมายถึง จำนวนเงินอย่างสูงที่อนุญาตให้จ่าย หรือ
ก่อหนี้ผูกพันได้ตามวัตถุประสงค์และภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย
• เงินรายได้แผ่นดิน หมายถึง เงินทั้งปวงที่ส่วนราชการจัดเก็บหรือได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ตากกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ หรือจากนิติกรรม หรือนิติเหตุ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ บัญญัติไม่ให้ส่วนราชการนั้น ๆ นำไปใช้จ่ายหรือหักไว้เพื่อการใด ๆ
• เงินนอกงบประมาณ หมายถึง เงินทั้งปวงที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วน
ราชการนอกจากเงินงบประมาณรายจ่าย เงินรายได้แผ่นดิน เงินเบิกเกินส่งคืน และเงินเหลือจ่ายปีเก่าส่งคืน
สำหรับเงินค่าบริการที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้รับนั้นเรียกว่า “ เงินบำรุง ”
ปีงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทย ความหมายของคำว่า “ ปีงบประมาณ ” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตราที่ 4 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ . ศ . 2502 หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่ 1 ตุลาคม ของปีหนึ่งถึงวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป และให้ใช้ใน พ . ศ . ที่ถัดไปนั้นเป็นชื่อสำหรับปีงบประมาณนั้น เช่น ปีงบประมาณ 2542 หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2541 ถึง 30 กันยายน 2542 เป็นต้น รวมช่วงระยะเวลาปีงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยเท่ากับ 12 เดือน หรือ 1 ปี

กระบวนการจัดทำงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทย
กระบวนการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน
ขั้นการเตรียมงบประมาณ เริ่มตั้งแต่หน่วยงานที่มีบทบาทในการตระเตรียมงบประมาณแผ่นดิน คือ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มาประชุมร่วมกันเพื่อทราบถึงแนวนโยบายของงบประมาณประจำปี และประมาณการทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อสำนักงบประมาณสามารถกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายทั้งสิ้น นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตัดทอน หรือเพิ่มเติมโดยถือนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก พร้อมทั้งกำหนดนโยบายงบประมาณประจำปี เมื่อได้วงเงินสูงสุดจากคณะรัฐมนตรีแล้วสำนักงบประมาณจะแจ้งวงเงินที่ได้รับอนุมัติของแต่ละกระทรวง พร้อมทั้งนโยบายงบประมาณของรัฐ เพื่อแต่ละกระทรวงจัดทำงบประมาณรายจ่ายตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมีอำนาจเพิ่มหรือลดวงเงินงบประมาณรายจ่ายของแต่ละกรมในวงเงินของแต่ละกระทรวงที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โดยคำนึงถึงนโยบายงบประมาณของรัฐบาล และของกระทรวงเป็นหลัก
งบประมาณรายจ่ายที่จัดทำตามวงเงินที่สำนักงบประมาณแจ้งมา จะเสนอไปตามลำดับขั้นจนถึงระดับกระทรวง แล้วจัดทำงบประมาณค่าใช้จ่ายของกระทรวงเสนอต่อสำนักงบประมาณ ซึ่งสำนักงบประมาณจะรวบรวมและจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เสนอผ่านคณะรัฐมนตรีไปยังรัฐสภาต่อไป ซึ่งวิธีการเตรียมงบประมาณเช่นนี้ เรียกว่า “ แบบบนลงล่าง ”
2. ขั้นการอนุมัติงบประมาณ รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อรัฐสภา ซึ่งแบ่งการพิจารณาออกเป็น 3 วาระคือ
วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ
รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนอ่านคำแถลงงบประมาณ จากนั้นจะมีการอภิปรายกัน แล้วให้ลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่ ซึ่งหาสภาไม่รับหลักการมีทางปฏิบัติอยู่ 2 ทางคือรัฐบาลลาออก หรือยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาใหม่
ในกรณีที่สภารับหลักการ จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายประจำปี ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ( ซึ่งจะเป็นกรรมาธิการโดยตำแหน่ง ) สมาชิกสภาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐบาลเสนอ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญจะพิจารณาแก้ไขเปลี่ยนแปลงร่างพระราชบัญญัติเรียกว่า “ การแปรญัตติ ” แล้วนำเสนอร่างพระราชบัญญัติทั้งร่างเดิมและส่วนที่เปลี่ยนแปลงต่อประธานสภาเพื่อเสนอสภาพิจารณาในวาระที่ 2 ต่อไป
วาระที่ 2 ขั้นแปรญัตติ
รัฐสภาประชุมใหญ่อีกครั้ง เพื่อพิจารณาและอภิปรายถึงรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไปจากนั้น สภาจะพิจารณาทั้งร่างพระราชบัญญัติเป็นการสรุปอีกครั้ง ซึ่งถ้ารัฐสภามิได้ลงมติเป็นอย่างอื่นแล้ว สภาจะพิจารณาในวาระที่ 3 ต่อไป
วาระที่ 3 ขั้นลงมติอนุมัติผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
รัฐสภาประชุมเพื่อลงมติว่าจะผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือไม่ หากลงมติอนุมัติก็นำเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาโดยทำเป็นขั้นตอน 3 วาระ เช่นกัน และต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน ( นอกจากสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติให้ขยายเวลาออกไปเป็นพิเศษ ) หากเห็นชอบด้วยในร่างพระราชบัญญัตินั้นนายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็ใช้บังคับ

3. ขั้นการบริหารหรือควบคุมงบประมาณ เริ่มตั้งแต่กระทรวง และกรมต่าง ๆ ขออนุมัติเงินประจำงวดจากสำนักงบประมาณ เพื่อดำเนินงานตามงาน / โครงการที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และทำการติดตามประเมินผลเพื่อการปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพรวมทั้งการใช้ผลการประเมินเพื่อเตรียมงบประมาณของปีต่อไป
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารหรือควบคุมงบประมาณ คือ
ก . สำนักงบประมาณ มีหน้าที่อนุมัติเงินประจำงวด ควบคุมการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณ
ข . กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ควบคุมการเบิกเงินให้หน่วยงานในส่วนกลาง โดยอธิบดีกรมบัญชีกลางหรือผู้ได้รับมอบหมายที่มีตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหัวหน้าแผนก เป็นตัวตรวจและอนุมัติฎีกา
สำหรับหน่วยงานในส่วนภูมิภาค เป็นอำนาจหน้าที่ของคลังจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดหรืออำเภอ ซึ่งได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณีเป็นผู้อนุมัติฎีกา
3.2 การคลังสุขภาพ
การศึกษาการคลังสุขภาพจะให้ภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของการไหลเวียนทางการเงินที่มีอยู่ในระบบสุขภาพ นโยบายการคลังสุขภาพเป็นฐานสำคัญของการสร้างระบบสุขภาพที่พึงปรารถนา ในหน่วยการเรียนนี้จะอธิบายแหล่งที่มาของเงินที่เพื่อระบบสุขภาพ การใช้จ่าย กลวิธีในการจ่าย ผลกระทบของระบบการคลังต่าง ๆ แบบต่าง ๆ รวมทั้งตัวอย่างเปรียบเทียบของระบบการคลังสุขภาพในประเทศที่เป็นแม่แบบสำคัญ เพื่อการมองถึงระบบสุขภาพที่สร้างหลังประกันแก่ประชาชนโดยถ้วนหน้า

ค . สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ( สตง .) มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานต่าง ๆ ของทางราชการ
กรอบการศึกษาระบบการคลังสุขภาพ
เพื่อให้การศึกษาระบบการคลังสุขภาพ มีขอบเขตที่ชัดเจน รูปที่ 3.1 แสดงกรอบทั้งหมดของการศึกษาระบบการคลังสุขภาพ ซึ่งหมายถึงแหล่งที่มาของเงิน ว่ามีมาจากการคลังสาธารณะมากน้อยเพียงใด และเมื่อเทียบกับแหล่งการคลังจากเอกชน จะเป็นสัดส่วนเท่าไร ของการคลังทั้งหมด แหล่งเงินเหล่านี้มีเพียงพอต่อการพัฒนางานด้านสุขภาพเพียงใด และเมื่อได้มาแล้วจะสามารถสร้างกลไกต่อรองด้วยอำนาจทางการคลังมากน้อยเพียงใด



ประโยชน์ของการศึกษาการคลังสุขภาพ
• ทำให้สามารถค้นหาว่าใครที่ได้ประโยชน์ และทราบผลกระทบของนโยบายสาธารณสุขของชาติ
• สามารถค้นหาได้ว่า ใครได้ประโยชน์อะไร และสอดคล้องกันนโยบายชาติหรือไม่
• สามารถค้นหาว่า แบบแผนการคลังสุขภาพในปัจจุบันเป็นอย่างไร สมควรปรับเปลี่ยนอย่างไร
• สามารถประเมินได้ว่า ทรัพยากรยังขาดแคลนในบริการด้านใด จากข้อมูลการ ใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
• ส่งเสริมให้หน่วยงาน / แหล่งเงินเพื่อการสาธารณสุขต่าง ๆ ประสานงานกันมากขึ้น
เพื่อการเปรียบเทียบการคลัง และการใช้จ่ายด้านสุขภาพระหว่าง
ปัญหาทั่วไปของการคลังสุขภาพ
ปัญหาการคลังสุขภาพโดยทั่วไปทั้งประเทศพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนาคือ แหล่งเงินไม่เพียงพอในการดำเนินงานบริการสุขภาพ แต่สาเหตุของประเทศกำลังพัฒนา คือ
1. ทรัพยากรขาดแคลน เป็นการขาดแคลนอย่างสัมบูรณ์ (absolute deficiencies) ปริมาณเงินที่มีอยู่ไม่สามารถจัดหาทรัพยากรอย่างเพียงพอ สาเหตุในกลุ่มทรัพยากรขาดแคลนนี้ ได้แก่
• ต้นทุนสูงขึ้น (Rising cost) ปริมาณเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ทำให้จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ได้น้อยลง
• ความคาดหวังมากขึ้น (Rising expectations) เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 กำหนดว่า ทุกคนต้องได้รับบริการที่มีคุณภาพ จะทำให้ความคาดหวังด้านคุณภาพสูงขึ้น ปริมาณเงินที่มีอยู่จะไม่เพียงพอ
• ผู้สูงอายุมากขึ้น (Aging population) ทำให้อุปสงค์ต่อบริการสุขภาพโดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่สูงอายุมากขึ้น ผู้สูงอายุต้องพึ่งพิงระบบสุขภาพ ทรัพยากรที่เคยมีอย่างเพียงพอก็กลับขาดแคลน
2. ใช้ทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการขาดแคลนแบบสัมพันธ์ (Relative deficiencies) นั่นคือมีทรัพยากรอย่างเพียงพอแต่ใช้ไม่ถูกประโยชน์ เช่น
• ทรัพยากรบุคคล (Human resource) ศักยภาพของคนไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จึงไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มกำลังศักยภาพที่ควรเป็น
• เทคโนโลยีไม่เหมาะสม (Inappropriate technology) อาจใช้เทคโนโลยีที่สูงเกินไป หรือด้อยเกินไป ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ
ทรัพยากรกระจายไม่เหมาะสม เป็นปัญหาของระบบบริการสุขภาพ (Health care system) สถานพยาบาลและบุคคลกระจุกอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครหรือเมืองใหญ่ ทำให้เขตชนบทขาดแคลนทรัพยากร

แหล่งที่มาของเงินเพื่อการสุขภาพ
แหล่งที่มาของการเงินเพื่อสุขภาพ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ การคลังสาธารณะ (Public finance) และการคลังเอกชน (Private finance) ส่วนแหล่งเงินอื่นที่อาจมีเพิ่มได้อีก คือ เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ (Foreign aid)
การคลังสาธารณะ
การคลังสาธารณะ หมายถึง เงินรายได้หรือรายจ่ายที่มาจากรัฐ รัฐมีกระบวนการทางกฎหมายอันชอบธรรมที่จะหาเงินเพื่อเป็นได้ไว้ใช้จ่ายในกิจการต่าง ๆ ในแต่ละปีงบประมาณ แหล่งย่อยของรายได้รัฐที่นำมาใช้ทางด้านสุขภาพ ได้แก่
• ภาษีอากร (General tax revenue) เป็นรายได้หลักของรัฐบาลทุก ๆ ประเทศ รัฐจะเก็บภาษีทางตรง (direct taxation) ซึ่งเป็นภาษีเก็บตามสัดส่วนของรายได้ส่วนบุคคล และเก็บภาษีทางอ้อม (indirect taxation) ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บตามการบริโภคสินค้า เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (value added tax ; VAT) ภาษีบุหรี่ ภาษีน้ำมัน ภาษีสินค้าขาเข้า ภาษีสินค้าขาออก ฯลฯ ในแต่ละปี รัฐบาลจะเจียดรายได้ส่วนหนึ่งของประเทศมาเป็นงบประมาณด้านสุขภาพ
• ภาษีเพื่อกิจการเฉพาะ (Earmarked tax) เป็นวิธีหารายได้ของรัฐด้วยการเก็บภาษีอีกทางหนึ่ง แต่การเก็บภาษีชนิดนี้จะกำหนดเป้าหมายชัดเจนว่า ภาษีที่เก็บได้จะนำไปใช้จ่ายในกิจการเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เช่น ภาษีสุขภาพ (Health tax) ในประเทศออสเตรเลียเจาะจงว่าภาษีที่เก็บได้จะนำไปใช้จัดบริการสุขภาพ วิธีนี้กระทรวงการคลังมักไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการลดทอนอำนาจการบริหารจัดการด้านภาษี
• การประกันสุขภาพภาคบังคับ (Compulsory health insurance) เป็นส่วนหนึ่ง ของระบบประกันสังคม (Social security system) ประเทศที่ให้ความสำคัญกับแรงงานที่อยู่ในระบบ (Formal sector) จะออกกฎหมายบังคับให้ผู้มีรายได้ทุกคนต้องจ่ายเงินตามสัดส่วนของรายได้เข้ากองทุน เพื่อประกันสวัสดิภาพสำหรับตนเองหรือรวมครอบครัว ในประเทศไทยการประกันสังคมครอบคลุมสวัสดิภาพหลายด้าน เช่น การเจ็บป่วย การคลอด การทุพพลภาพ การเลี้ยงดูบุตร การว่างงาน ชราภาพ ดังนั้น แหล่งเงินจากการประกันสังคมจึงถือเป็นแหล่งเงินเพื่อการประกันสุขภาพภาคบังคับ
• การกู้เงินของรัฐ (Deficit financing) ในบางปีที่รัฐบาลเก็บรายได้ไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายด้านต่าง ๆ เพราะมีปัญหาทางเศรษฐกิจ จึงต้องใช้วิธีกู้เงินจากภาคเอกชนในประเทศ หรือกู้เงินจากต่างประเทศไว้ใช้จ่าย การที่รัฐเป็นผู้กู้เงินมาใช้จ่ายจึงเป็นการคลังสาธารณะ เพราะเมื่อครบกำหนดใช้หนี้ รัฐต้องนำภาษีหรือรายได้รัฐบาลส่วนอื่น ๆ ไปชำระหนี้
การออกสลาก (Government lottery) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่รัฐบาลสามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนไม่น้อย และเงินรายได้จากการออกสลากก็นำมาใช้ในด้านสุขภาพด้วยส่วนหนึ่ง

การคลังเอกชน
การคลังเอกชน หมายถึงแหล่งเงินที่ไม่เกี่ยวข้องกับงบประมาณหรือรายจ่ายของรัฐ แหล่งที่มาของการคลังเอกชนเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพ มีได้หลายประการ ดังนี้
• การจ่ายเงินเมื่อรับบริการ (Out of pocket spending) เป็นแหล่งรายได้ใหญ่ของระบบบริการสุขภาพในประเทศไทยตั้งแต่แรกเริ่มมาจนถึงปันจุบัน ประชาชนต้องจ่ายเงินเมื่อใช้บริการทั้งที่สถานพยาบาลของรัฐและสถานพยาบาลเอกชน
• การประกันสุขภาพแบบสมัครใจในภาคเอกชน (Voluntary health insurance)
เป็นแหล่งรายจ่ายด้านสุขภาพที่สำคัญแหล่งหนึ่งสำหรับผู้ที่มีฐานะปานกลางถึงดี ที่ต้องการลดความเสี่ยงของการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย ซึ่งค่ารักษาพยาบาลนี้นับวันจะแพงขึ้น ผู้ซื้อประกันจะจ่ายเงินล่วงหน้าโดยสมัครใจแก่บริษัทประกัน
• สวัสดิการนายจ้าง (Employer benefit)
เป็นแหล่งรายจ่ายด้านสุขภาพที่มาจากนายจ้าง เนื่องจากเห็นว่านายจ้างควรดูแลสวัสดิการของลูกจ้างเองโดยไม่ต้องพึ่งพิงสวัสดิการจากรัฐ ก่อนประกาศพระราชบัญญัติประกันสังคมปี 2533 นายจ้างหลายแห่งจัดสวัสดิการรักษาพยาบาลให้ลูกจ้าง หลังจากใช้พระราชบัญญัติ ยังมีนายจ้างบางแห่งที่จัดสวัสดิการรักษาพยาบาลให้ลูกจ้างอยู่ เพราะถือว่าให้สวัสดิการที่เพิ่มเติมมากกว่าที่ประกันสังคมจัดให้
• การคลังชุมชน (Community financing)
เป็นวิธีระดมเงินในชุมชนด้วยการตั้งกองทุนอีกวิธีหนึ่ง และเนื่องจากเป็นกระบวนการสมัครใจของประชาชนในแต่ละชุมชน ไม่ได้บังคับทั่วประเทศ จึงถือว่าเป็นการคลังเอกชน กองทุนชุมชนบางแห่งจะเจียดเงินบางส่วนจากผลกำไร เพื่อนำเป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของสมาชิกกองทุน
• การออมภาคบังคับ (Compulsory saving)
เป็นวิธีประกันแหล่งเงินเอกชนเพื่อนำมาใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ ตัวอย่าง ในประเทศสิงคโปร์นั้นจะบังคับให้คนมีรายได้ต้องออมเงินไว้ในบัญชีของตนเองเพื่อจ่ายสมทบเมื่อเจ็บป่วย ถ้าไม่ได้ใช้จ่ายเงินนี้จะยังคงอยู่ในบัญชีและนำไปใช้อย่างอื่นได้เมื่ออายุมากขึ้น
การบริจาค (Donation)
เป็นการให้เงินแก่ระบบบริการสุขภาพจากผู้มีจิตศรัทธาโดยสมัครใจ เช่น การบริจาคเงินเพื่อรักษาผู้ป่วยยากจน การบริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาล หรือซื้อเครื่องมือแพทย์รักษาผู้ป่วย

เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
ในประเทศยากจนที่จัดเป็นประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด จะพบปัญหาว่ารายได้ของรัฐและการคลังเอกชนที่ระดมภายในประเทศยังไม่เพียงพอต่อการจัดบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานให้กับประชาชน จึงต้องอาศัยเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเมื่อองค์การอนามัยโลกตั้งเป้าหมายกวาดล้างโปลิโอทั่วโลก ซึ่งในประเทศที่ยากจนนั้นไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ้างบุคลากรและจัดหาอุปกรณ์เก็บความเย็นเพื่อจัดบริการหยอดวัดซีน และยิ่งไม่มีเงินตราต่างประเทศซื้อวัคซีน เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศจึงสำคัญมากในการกวาดล้างโปลิโอระดับโลก

แหล่งที่ไปของเงินเพื่อสุขภาพ
ระบบบริการสุขภาพเป็นแหล่งที่ไปของการเงินเพื่อสุขภาพ ซึ่งระบบบริการสุขภาพมีทั้งที่เป็นของรัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับการดูแลเบื้องต้น ขั้นปฐมภูมิ เช่น หมอพื้นบ้าน สมุนไพร ร้านยา คลินิก สถานีอนามัย สถานบริการขั้นทุติยภูมิหรือตติยภูมิ เช่น โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลเฉพาะทาง แหล่งการเงินดังกล่าวจะไหลไปสู่ระบบบริการเหล่านี้
แหล่งการคลังสาธารณะที่แสดงมีทั้งที่เป็นเงินงบประมาณและเงินจากการประกัน
สุขภาพ ภาคบังคับ ด้วยข้อจำกัดของวิธีใช้เงินงบประมาณในปัจจุบัน ทำให้เงินเพื่อสุขภาพจากระบบงบประมาณต้องไหลสู่หน่วยงานราชการตามกระบวนการของคำของบประมาณ
กระทรวงสาธารณสุขเป็นแหล่งใหญ่ของการใช้งบประมาณด้านสุขภาพ โดยมีสถานพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยและกระทรวงอื่น ๆ ที่เป็นเจ้าของสถานพยาบาล ได้รับงบประมาณโดยตรงที่ผ่านแต่ละกระทรวง สำหรับกระทรวงสาธารณสุข งบประมาณแบ่งเป็นส่วนที่ใช้สำหรับการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค และการรักษาพยาบาล และงบประมาณอีกส่วนหนึ่งเป็นไปเพื่อการรักษาผู้ที่มีรายได้น้อยและผู้ที่สังคมช่วยเหลือเกื้อกูลตามโครงการสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล ( สปร .) รวมทั้งอีกส่วนเป็นงบประมาณที่จัดสรรเพื่อสมทบโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปัจจุบัน
แหล่งเงินที่มาจากการประกันสุขภาพภาคบังคับ มีความคล่องตัวกว่าเงินที่มาจากระบบงบประมาณ ได้แก่ เงินจากการประกันสังคม ( ปกส .) การคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ กองทุนเงินทดแทน และสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ( ขรก .) เพราะมีส่วนที่ไหลไปได้ทั้งที่สถานพยาบาลของรัฐและของเอกชน ทั้งนี้เป็นไปตามสัญญาหรือตามหลักเกณฑ์ว่า สถานพยาบาลเหล่านั้นให้การดูแลรักษาแก่ผู้ที่มีสิทธิ จึงสมควรได้รับเงินตอบแทนจากการทำภารกิจเหล่านั้น
แหล่งเงินสำคัญที่สุดคือรายจ่ายจากครัวเรือนเมื่อรับบริการรักษาพยาบาล จะพบว่ารายจ่ายจากครัวเรือนไปสู่ทุกส่วนของสถานพยาบาล ตั้งแต่ ร้านยา สมุนไพร หมอพื้นบ้าน คลินิกเอกชน โรงพยาบาลเอกชน สถานีอนามัย และโรงพยาบาลรัฐ

กลไกการจ่ายเงินเพื่อสุขภาพ
องค์การอนามัยโลก (WHO 1993) จัดหมวดหมู่ของกลไกการจ่ายเงินให้แก่สถานพยาบาลและผู้ให้บริการ ในระบบสาธารณสุขออกเป็น 7 วิธี ( ดูตารางที่ 3.1) แต่ละวิธีมีแรงจูงใจด้านดีและด้านไม่ดี แตกต่างกัน
วิธีแรก การจ่ายเงินให้แก่สถานพยาบาลและผู้ให้บริการ ตามรายกิจกรรม (Fee for service) เป็นวิธีที่ใช้มากสำหรับการจ่ายจากครัวเรือนเมื่อใช้บริการ เพราะตั้งอยู่บนฐานใครใช้บริการมากควรจ่ายเงินมาก บริการที่เข้าข่ายเป็นรายกิจกรรมได้แก่ ค่ายา ค่าตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ค่าผ่าตัด ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ ค่าทำแผล ฯลฯ วิธีจ่ายเงินแบบนี้จะทำให้สถานพยาบาลหรือผู้ให้บริการนัดผู้ป่วยมารับบริการมากขึ้น บ่อยครั้งขึ้น และยังเลือกที่จะให้บริการเฉพาะอย่างที่มีราคาแพง เพราะสถานพยาบาลหรือผู้ให้บริการจะได้รับเงินมากขึ้น สวัสดิการข้าราชการ การคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และกองทุนเงินทดแทน ใช้วิธีการจ่ายเงินเช่นนี้ ผลกระทบคือค่าใช้จ่ายของโครงการจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัญหาจนต้องทำการปฏิรูปวิธีการจ่ายเงิน
วิธีที่สอง เป็นวิธีที่ตรงข้ามกันกับวิธีแรก คือการจ่ายเงินให้แก่สถานพยาบาลและ
ผู้ให้บริการตามจำนวนประชากรที่อยู่ภายใต้การดูแล เรียกว่า อัตราเหมาจ่ายรายหัว (Capitation) ถ้ามีผู้อยู่ในทะเบียนความรับผิดชอบสูงก็จะได้รับเงินมาก แต่ในขณะเดียวกันถ้าผู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบมีโรคเรื้อรังต้องรับการรักษาบ่อยหรือเจ็บป่วยที่ต้องเสียค่ารักษาสูง ก็จะไม่ได้รับเงินเพิ่ม เพราะเงินที่ได้รับเป็นไปตามจำนวนคนที่ขึ้นทะเบียนไม่ได้เป็นไปตามการรักษาที่ให้ วิธีนี้จึงทำให้ผู้ให้บริการลดการนัดผู้ป่วยมารับบริการครั้งต่อไป ลดการให้บริการที่มีราคาแพง แต่จะพยายามให้มีผู้มาขึ้นทะเบียนมากขึ้น ต้นแบบของจ่ายเงินวิธีนี้คือการจ่ายเงินให้กับแพทย์ประจำครอบครัว (General practitioner) ในประเทศอังกฤษ เพื่อให้แพทย์มีความผูกพันที่จะดูและประชาชนให้มีสุขภาพดีตลอดปี สำหรับประเทศไทยเริ่มใช้ครั้งแรกในกรณีประกันสังคม โดยการทำสัญญาล่วงหน้ากับสถานพยาบาลคู่สัญญาหลัก และมีแนวโน้มว่าการปฏิรูประบบบริการสุขภาพในอนาคตจะมุ่งใช้วิธีจ่ายเงินแบบนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถควบคุมรายจ่ายได้ดี
วิธีที่สาม เป็นวิธีที่พยายามหาจุดกึ่งกลางระหว่างสองวิธีแรก คือ การจ่ายเหมาตามรายป่วย เช่น การจ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมสำหรับผู้ป่วย ( หรือ DRG s ) หรือการใช้ตารางราคาความรุนแรงของโรค วิธีนี้คำนึงถึงความหนักเบาของแต่ละโรคที่แตกต่างกัน จึงเหมาตามความรุนแรงของผู้ป่วยที่มาแต่ละครั้ง แต่จะไม่จ่ายอย่างเต็มที่เหมือนรายกิจกรรม เพื่อควบคุมไม่ให้บริการมากเกินพอดี วิธีนี้อาจทำให้มีการนัดมาใช้บริการครั้งต่อ ๆ ไปมากขึ้นได้ แต่ก็พยายามลดบริการที่มีราคาแพงไม่คุ้มกับอัตราเหมา
การจ่ายตามงบยอดรวม (Global budget) และจ่ายบุคลากรตามเงินเดือน เป็นวิธีที่นิยม ใช้ในการจัดสรรเงินจากงบประมาณ ข้อดีของการจัดตามงบยอดรวมคืองบประมาณจำกัด เมื่อใช้หมดแล้วไม่มีการให้เพิ่มเติมยกเว้นในงวดปีงบประมาณใหม่ ดังนั้น สถานพยาบาลที่ได้รับงบประมาณแบบนี้ จึงพยายามบริหารงานให้รายจ่ายอยู่ในระดับเดียวกับงบที่ได้รับ ปริมาณบริการ รวมทั้งคุณภาพจะลดลงมาก ถ้างบประมาณที่จัดให้ต่ำกว่าต้นทุนการจัดบริการ สถานบริการต้องพยายามอยู่ให้รอดโดยการลดคุณภาพลง ปัญหาที่พบได้มากในสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล และโครงการบัตรสุขภาพ ( เดิม ) ซึ่งงบที่จัดสรรน้อยกว่าต้นทุนอย่างมาก เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งของความไม่เป็นธรรมในระบบสุขภาพ
การจ่ายเงินบุคลากรทางการแพทย์ด้วยเงินเดือน เป็นวิธีที่ง่ายและสามารถคาดการณ์รายจ่ายในแต่ละปีได้อย่างแม่นยำ แต่วิธีนี้ก็ไม่กระตุ้นการทำงานของบุคลากรเท่าที่ควร เพราะการทำมากหรือทำน้อยก็ได้เงินเดือนเท่ากันตลอดทุกเดือน จึงมีแต่จะทำให้ทำงานลดลง แต่ข้อดีก็คือไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์อุปทานเหนี่ยวนำอุปสงค์
การจ่ายเงินแก่สถานพยาบาลตามอัตรารายวัน เป็นวิธีที่องค์กรประกันบางแห่งใช้ สำหรับจ่ายกรณีผู้ป่วนใน แต่ถ้าใช้วิธีนี้อย่างโดด ๆ จะทำให้สถานพยาบาลกักตัวผู้ป่วยให้นอนนานขึ้น ( เช่นที่พบในสวัสดิการข้าราชการ เพราะถ้านอนนานขึ้นอีกก็จะได้เงินค่าห้องและค่าอาหารตามจำนวนวันที่เพิ่ม ) องค์กรประกันบางแห่งจึงใช้วิธีนี้ร่วมกับการหาค่าเฉลี่ยจำนวนวันที่ควรนอนใน
แต่ละโรค เพื่อไม่ให้โรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยนานเกินสมควร
การจ่ายเงินตามวิธีสุดท้าย เป็นการจ่ายตามอัตราคงที่ (Flat rate) เช่น สมนาคุณ (Bonus) สำหรับกิจกรรมที่ได้ผลตามเป้าหมาย ฉีดวัดซีนได้ครอบคลุม หรือ คัดกรองมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมได้ครบถ้วน วิธีนี้ใช้ในประเทศอังกฤษ